กินอาหารเป็นยา” เทรนด์มาแรงของผู้บริโภคยุคใหม่

“กินอาหารเป็นยา” เป็นวลีทั่วไปที่ใช้โดยคนทั่วโลก และสถิติชี้ชัดว่าเป็นแนวโน้มสำคัญของผู้บริโภคสมัยใหม่ เนื่องจากผู้คนให้ความสำคัญกับตัวเลือกอาหารเพื่อสุขภาพที่สามารถช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อภัยคุกคามต่าง ๆ ในปัจจุบันมากขึ้นมาก มีจำนวนคนที่กินอาหารประเภทฟังก์ชันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เป็นกระแสใหม่ที่สร้างโอกาสมหาศาลให้กับผู้ประกอบการและเศรษฐกิจไทย

สถิติการเป็นผู้นำผลิตสินค้า เพื่อตอบสนองเทรนด์ “กินอาหารเป็นยา” ของไทย
เนื่องจากการแพร่กระจายของ COVID-19 ความต้องการอาหารที่มีคุณสมบัติเสริมสร้างสุขภาพมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นี่เป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในการเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารชั้นนำระดับโลก จากการศึกษาพบว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะกินอาหารเป็นยามากขึ้น เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ สิ่งเหล่านี้รวมถึงการปรับปรุงสุขภาพจิตและร่างกาย การป้องกันโรค และช่วยรักษาโรค การศึกษายังพบว่าการจัดการอารมณ์และการทำงานของอาหารเป็นปัจจัยบางประการที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ

จากการศึกษาของบริษัทมินเทล (Mintel) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยการตลาดระดับโลก ได้เปิดเผยผลวิเคราะห์จากการสำรวจสินค้าอาหารที่วางจำหน่ายทั่วโลก แสดงให้เห็นว่า ในช่วงปี 2555-2564 หรือในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา มีสินค้าอาหารวางจำหน่าย 1,944,226 รายการ เป็นอาหารประเภทฟังก์ชันจำนวน 105,162 รายการ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 5.4 ของสินค้าอาหารทั้งหมด
อาหารประเภทฟังก์ชัน มีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น และมี 3 คุณสมบัติ ที่มีการกล่าวอ้างมากที่สุด ได้แก่
1. ด้านระบบพลังงาน ร้อยละ 23.6
2. ด้านระบบการย่อยอาหาร ร้อยละ 17.7
3. ด้านระบบหัวใจและหลอดเลือด ร้อยละ 17.6

ตลาดที่มีการวางจำหน่ายสินค้าอาหารฟังก์ชันมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อินเดีย คิดเป็นร้อยละ 9.5 สหรัฐฯ ร้อยละ 9.2 และ จีน ร้อยละ 5.7 ในช่วงปี 2555-2564 หรือในระยะ 10 ปีที่ผ่าน ประเทศไทย มีการผลิตอาหารประเภทฟังก์ชันสำหรับจำหน่าย 1,684 รายการ หรือคิดเป็นร้อยละ 6.5 ของสินค้าอาหารไทยทั้งหมด ซึ่งเห็นได้ว่าไทยมีสัดส่วนสินค้าอาหารประเภทฟังก์ชันสูงกว่าภาพรวมของโลก ที่อยู่ที่ร้อยละ 5.4

ในประเทศไทย อาหารประเภทฟังก์ชัน มี 3 คุณสมบัติ ที่มีการกล่าวอ้างมากที่สุด ได้แก่
1. ด้านสารต้านอนุมูลอิสระ ร้อยละ 25.1
2. ด้านบำรุงสมองและระบบประสาท ร้อยละ 21.4
3. ด้านระบบเผาผลาญพลังงาน ร้อยละ 20.8

แนวคิดเรื่องการกินเป็นยาได้นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีประโยชน์ ผู้บริโภคให้ความสนใจในส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติและมีคุณสมบัติในการปกป้องสุขภาพเพิ่มมากขึ้น นอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ผลิตภัณฑ์อาหารไทยยังมีคุณลักษณะเฉพาะที่ทำจากวัตถุดิบต่าง ๆ เช่น สมุนไพร ซึ่งมีคุณสมบัติที่สามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ นี่คือเหตุผลที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถือเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ

“ผู้ประกอบการในประเทศไทยต้องพัฒนาและขยายผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องตามพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้สามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น นอกเหนือจากความสามารถในการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพแล้ว พวกเขายังต้องสร้างความแข็งแกร่งทางการตลาดที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถแข่งขันในตลาดได้” ดร.กฤษกร สุขเวชชวรกิจ หัวหน้าสาขาการจัดการธุรกิจสุขภาพ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU Mahidol) กล่าว

วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ออกแบบ หลักสูตรปริญญาโท สาขาการจัดการธุรกิจสุขภาพ: Health Business Management (HBM) ที่ผสมผสานแนวคิดล่าสุดในการจัดการด้านสุขภาพกับกรณีศึกษาเข้าด้วยกัน หลักสูตรนี้จะช่วยให้นักศึกษาพัฒนากลยุทธ์ และรู้จักการประยุกต์ใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หลักสูตรนี้ได้รับความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงาน อาทิ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS และโรงพยาบาลเอกชนอีกหลายแห่ง หลักสูตรนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ประกอบการทุกระดับตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงในสายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่มีความสนใจในการเริ่มต้นหรือต้องการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น ธุรกิจโรงพยาบาล ธุรกิจความงาม ธุรกิจอาหารเสริม เครื่องมือแพทย์ เป็นต้น เปิดรับสมัครวันนี้ ถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2564 เว็บไซต์ https://www.cm.mahidol.ac.th/web/index.php/academic-programs/thai-program/hbm หรือ Facebook: CMMU Mahidol