เรื่องสั้น : ติ้วนา

ฟ้ารอแจ้งยังมืดอยู่ แต่วันวัยแม่เฒ่าก็รบเร้าตนนางให้เร่งลุกตื่น ราวเกรงว่าภาพเช้าที่เก็บสะสมมาทั้งชีวิตจะพร่องไป พลิกผ้าห่มพ้นตัว กระชับเสื้อฝ้ายแขนยาวเข้าที่ ใส่มาสิบหนาวซาวฝนจนสีย้อมหล่นหายมันยังอุ่นดีคือเก่า คราโน้นเก็บขี้ไต้มาทำกระบองได้หลาย เอาขึ้นรถเขาไปถึงเมืองสว่างแดนดิน แลกกับฝ้ายมัดท่อนมาทอหูก ทอแล้วตัดยัดไส้เป็นผ้าห่มขี้งา ทำที่นอนหมอนเหงื่อ ตัดเสื้อตัดกางเกง วิชาตัดเสื้อเย็บผ้า พ่อเฒ่าผู้ผัวตนลับมือมันชาญมันคล่อง ส่งต่อติดมือไว้ให้ทำกินสืบไส้หลายวิชา

ขยับเปิดตีนมุ้ง ควานหาตะกร้าหมาก แม้แสงไม่มีก็จำที่วางได้ หนาวแท้อากาศนอกมุ้ง ถัดกายเตรียมยืน ส้นสากครูดเสื่อกกเจ็บจนเผลอร้อง แตกนักแตกหนา หัวค่ำเข้านอนก็พานเอามุ้งลากติดส้นเข้าไปด้วย นี่พอกูตื่น เสียดนิดสีหน่อยปานเอามีดมาแล่งเอาแง่งมากรีด ยังไม่ถึงครึ่งหนาว น้ำในกายมันเหือดแห้งหมดแล้วหรืออย่างไรจึงเหมือนหล่อเลี้ยงกายไม่ทั่วถึง ตีนย่ำโคกย่ำนาเข้าป่าลงห้วย ตีนรับบ่าแบกหามมาทั้งชีวิต เพียงคมหนาวมาลูบบ่ทันครบวันโกนก็เป็นรอยร่องฟ้องหนาวเสียแล้ว ที่จริงมันรอยเต็มตีนมานาน คงมีมาพร้อมชีวิตแม่เฒ่า แต่พอตกหนาวทีมันออกเจ็บออกเลือด เป็นแต่ธรรมดาไม่หนาวไม่หมอกมันก็บ่เจ็บบ่เลือด

ลมลอดฝากระดาน บักลูกชายหล่ามันตีแปะแปงไว้ กั้นเป็นส่วนหลับส่วนนอนให้แม่มัน เรือนยกพื้นสูงใต้ถุนโล่งบันไดชัน มันเกรงแม่มันเทียวลุกลงขี้เยี่ยวกลางดึกลำบาก ลายมือลายตีนทางช่างได้พ่อมันมาเต็มๆ ลายมือลายตีนทางขุดช้อนหย่อนเสียม มันก็สืบเอาจากแม่เฒ่าไปครบทุกกระบวนภูมิ

หวีดหวิวลมซัดหมอก เป่าพรูเอามวลขี้เถ้าปลายไฟแตกฮือ ลูกไฟแสดส้มไล่ล้อเล่นกันเปรี๊ยะปร๊ะ หมาอีด่างนอนขดอยู่ปลายตีน ก้มถ่มน้ำหมากลงดินเขี่ยกลบ น้ำข้าวคู่นั้นทอดฝ่าดงมืดดงหมอกตกถึงไหนแล้วไม่รู้ ไม่มีใครรู้ อีด่างก็ไม่รู้ แสงจากกองไฟแลบไล้ใบหน้ายับย่นนั้นก็ไม่รู้ แต่นางรู้

“เมื่อใดจะแจ้งหูแจ้งตาสักทีวะ กูบ่ไหวแล้วนะเว้ย”

ลมหัวเช้าหวือมาวูบใหญ่เป่ากองไฟจัดจ้า เรือนใกล้ยังอาลัยผืนผวย แสงไฟหลอดไฟกองยังบ่ติดหลอดติดกอง ดึงโม่งลงต่ำปิดหู ดึงปลายแขนเสื้อห่อมือ ซุกมือใต้ตัก ขยับงอตีนเข้าหาตัวหมายเอาปลายซิ่นคลุมมันกันหนาว เจ็บแท้เจ็บว่า จนเผลอร้องโอยออกมา อีด่างตื่นหูตั้ง โงหัวแนมหน้า “แตกได้แตกดี เลือดซึมแล้วไหมล่ะกูว่า”

พิศผ่านเปลวไฟ ตีนเหี่ยวแห้งปานกาบไม้เซือก ซ้ายขวาขีดร่องยาวลึกทั้งฝ่าตีน เฉพาะตรงส้นสองข้างปริเว่อร์ปานคมขวานอีเหี่ยนสับบากหัวตอ ทรมานแท้ หนึ่งศีลแล้วที่ไม่ได้ไปวัด มันเดินไม่ไหว จะให้ลูกผู้กำพร้าพ่อตั้งแต่น้ำคร่ำไม่ทันแตกไปส่งก็เกรงใจงานมัน อีเพ็ญลูกใภ้หล่าแต่งกับแต่งข้าวให้ พอได้เอาไปจกใส่บาตรหน้าบ้าน ชั่วเดินไปใส่บาตรแค่หน้าบ้านก็เล่นเอาหย่องย่อหย่องหย็อก น้ำตาปริ่มเล็ด จนญาครูคำใบใส่คำท้วงทัก “เป็นอย่างใดคือเดินทรงนั่นละแม่สา”

ตนญาครูบวชมาแต่น้อย พ่อแม่ตายป๋า ญาติที่เหลือเอาผ้าเหลืองคลุม ให้ศีลให้ธรรมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู จะได้บ่เป็นคนเถื่อนทมิฬดิบนอกลู่แตกแถว สมาทานเอาศีลสิบข้อยอหัว ยาวล่วงไปเป็นตนภิกขุเพศ ห้าสิบกว่าพรรษายังเดินนำหน้าหม่อมหน้าเณรโผดผายญาติโยมได้ทุกเช้า โตมาด้วยกัน เห็นกันมาตั้งแต่จำความได้ ร่วมยุคร่วมสมัยใช้เงินสลึงกินน้ำร่วมบ่อกันมา ตื้นลึกหนาบางอย่างใดรู้เห็นใจกัน ตนผัวผู้ตายญาครูร้องใส่เรียกหาปรึกษาหารือประสาคนเก่าคนแก่ไม่เคยขาด บ้านอาศัยวัด วัดอาศัยบ้าน ศูนย์รวมจิตใจคนชาวบ้านบ่เกินบ่ขาดไปจากวัด บ้านอยู่ใกล้ปากทางเข้าวัดชั่วร้องยิน หน้าวัดมีประตูโขง เป็นรูปพญานาคตนคู่เขียวอ้าปากกว้างขนาบซ้ายขวาล้อมเขตพัทธสีมาไว้ นั่นก็ฝีมือพ่อเฒ่าผู้ผัว มันเก่งทางช่างหลายทาง

ตีนคู่ทุกข์คู่ยากคู่นี้เองที่พาลัดทุ่งข้ามอำเภอไปหาบเกลือบ้านไกลมาขายแต่คราสาว หาบตีคู่เรียงเงามากับผัว เหนื่อยก็พัก หนักก็วาง ได้แรงแล้วก็ยอหาบจ้ำต่อ ดินเลน ดินลุ่ม หินแห่แกร่กรวดย่ำบดย่ำเบียดกันมานักต่อนักบ่ปริปาก ตาเฒ่าผู้ผัวมันเป็นคนแถบน้ำชีเมืองขอน สมัยบ่าวเป็นช่างศิลป์รับจ้างแต้มฮูปผ้าผะเหวดมหาชาติ บุพเพฯ นำพาตกล่องปล่องชิ้นอยู่กินกันด้วยค่าสมมาผีเชื้อบ่ถึงสิบบาท มันฉลาดหัวดี รู้จักค้าขายหงายมือ ตัดผ้าก็ได้ ตัดผมก็ได้ ตัดอ้อยก็ได้ หาของมาจัดแบ่งแต่งขายเอากำไรก็ได้ ทุกข์ยากหัวตากแดดก็อยู่บืนบกบืนบากกันมาจนมีลูกแปดคน บักชายหล่าผู้แปดที่อยู่นำกินกับ มันกำพร้าพ่อตั้งแต่ยังคาท้อง ทนหาเลี้ยงฝูงลูกใหญ่มา เหนือใต้ออกตก บกน้ำใกล้ไกล ป่าใดหนองใดบึงใด ไม่มีตีนคู่นี้ไปเหยียบไปฝังรอยเอาไว้ แม่เฒ่าให้เหยียบหน้า

ไฟครัวเปิด อีลูกใภ้คนรู้ความตื่นลุกนึ่งข้าว ไม่มีอีกแล้วเสียงน้ำแช่ข้าวราดรดลงเรือน ยุคสมัยฝ่าตีนบาง พื้นซีเมนต์ลบเสียงมันทิ้งไปแล้ว แต่กลิ่นเปรี้ยวน้ำแช่ข้าวยังอยู่ ยังมี ยังชัดเจนคุ้นชิน

“อีแม่ตื่นมาหยังแต่เช้า บ่หนาวรึ” นั่งยองใกล้ๆ เอามือสีกันอังไฟ

“ปูนนี้แล้ว หลับน้อยก็เหมือนหลับมาก กินน้อยก็เหมือนกินมาก” ลองหดขาไล่เหน็บ แต่หน้ากลับเบี้ยวสูดปาก

“เจ็บตีนแตกอีกแล้ว หล่าบอกให้เอาครีมอีนางน้อยไปทาก็บ่เชื่อบ่ทา”

“อีแม่เหม็น คีมบ้าคีมบอ”

“ครีมผู้สาวเขาก็เป็นอย่างนั้นแหละ”

“กูบ่ทา”

ม่านสีนิลของราตรีถูกรื้อเก็บใกล้หมดแล้ว ฟ้าบูรพาส่อแจ้งแรเล่นแสงเงา ป้ายแสดป้ายส้ม แต้มแดงชาดช่อ ราวสาวส่ำน้อยไม่ทันเดียงสา หัดแต่งหน้าทาปากหยอกล้อกับบาทย่างวันวัยแห่งตน

แจ้งตา เห็นลายมือครบทุกเส้นแล้ว วัดใกล้บ้านยังเงียบ แม่เฒ่าลูกดกสลัดผ้าขาวม้าหม่นมอไขว้อก แต่งเสื้อกระชับร่าง ได้พร้าด้ามก้อมเดินค่อมๆ จูงเงามุ่งหน้าไปทางวัด

เสียงคมมีดกินไม้ดังปึก ปึก ปึก ชั่วเหงื่อมุดเม็ด ยางอำพันเข้มหลั่งตัวเองออกจากรอยบาก วางมีด ก้มปาดเอายางไม้ไล้ทาตรงรอยส้นแตกทั้งสองข้าง มีดฝากคมบนเปลือกไม้หลายแผล ยางไหลออกเยิ้มเหลือใช้เหลือทา

“คีมอีนางน้อยหยังสิมาสู้ยางติ้ว”

เกิดมารู้ความก็เห็นแล้ว ติ้วนาต้นหลวง กิ่งใหญ่ใบหนา มีหนามคล้ายเขี้ยวหมูตันตรงโคนพอหลอกเด็กน้อยเลี้ยงควายไม่ให้ป่ายปีน ออกแล้งเดือนสามเดือนสี่ไฟไหม้กอไผ่ ฝนตกชะช่อมะม่วง มันสลัดใบโกร๋น ตุ่มตาได้กลิ่นน้ำค้างน้ำฝนลืมตาติดใบใหม่ ติดดอกขาวอมชมพู เคยยินอีหล่าน้อยมันว่า ดอกติ้วนาละม้ายดอกซากุระเมืองยุ่นอาทิตย์อุทัย บ่เคยเห็นดอก ไม้พันธุ์ชื่ออย่างนั้น เมืองยุ่นเมืองย่นนั่นก็บ่เคยเห็นเคยรู้ รู้เพียงว่าติ้วนาบานงามล้ำเหลือ ขาวนวลพราวสด พาใจชื่นใจสด ใบใส่ต้มปลาหลดก็ได้ ใส่ต้มไก่แม่สาวก็แซ่บ ใส่ต้มกบต้มเขียดขาคำก็เข้ากันดี ได้ดอกได้ใบใส่น้ำปลาร้าลงต้มกับปลาแห้ง พริกสด หอมแดงซุกขี้เถ้าสุกพอหอม ตำรวมกันให้ละเอียด เติมแป้งนัวข้าวคั่วโรย เสร็จสรรพยกพาตั้งวง เทวดาหย่อนขาอ้อนต้อนอยากลงมากินซุบผักติ้วด้วย

รสมือแม่เฒ่าสำรับนี้ ผู้ผัวตอนยังเหลือลมมันกินจนกางท้องกางพุง

“โอ… โอ๋ย ฟ้าเอ้ย ฟ้าฮ้องตึ้ง ข้ามเขาพึงไปเชียงใหม่ ตกมาฮอดคลองไผ่ ฟ้าเป็นสีครึ้มๆ หัวใจน้อง ห่วงแต่แฟน ห่วงแต่แฟน… อื้อๆ อือ… โอยละนา”

เสียงคลุมทุ่งคลุมดงแว่วมาจากเรือนผู้ใหญ่บ้าน คุ้นหูมาตั้งแต่เป็นสาว จนวันนี้ก็ยังสั่นอกแกว่งใจ ลำกลอนเก่าเล่าถึงชาวนา เคยอยู่ยากลำบากลำบนอย่างใดมาวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น เป็นแต่รูปแบบความลำบากมันต่างไป นายบ้านรุ่นใหม่อายุสี่สิบปีล่วงมาไม่กี่ฝนมันใคร่เปิด เปิดเช้าเปิดเย็น เปิดทุกครั้งก่อนฮะโหลโปข่าว จนกลายเป็นเพลงประจำที่ทำการผู้ใหญ่บ้านที่นี่ไปแล้ว

เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งแทนคนเก่าได้ยังไม่ถึงสองหนาว มันคล่องแคล่วเสียงดังคนเดินห้อยหลังเป็นพรวน เป็นนายบ้านคนแรกที่ตำแหน่งพ่วงด้วยใบปริญญา เชื้อแถวแนวพ่อแนวแม่มันเป็นผู้ห้างต่างมี งัวควายล้นคอก ไร่หนานากว้าง ตกทอดมูลมังมาถึงมันให้เห็นเป็นบ้านมุงกระเบื้องหลังใหญ่ติดแอร์ กำแพงปูนรอบไก่ตบปีกไม่ถึง รถยนต์สองล้อสี่ล้อนับได้หลายคัน ขับถึงไหนบารมีแผ่ไปถึงนั่น

พอถึงตอนที่ว่า “อันนี้ผูกควายแหมะหล่าอย่าสุให่มันหลุด ผักกะตูตีไลใส่กลอนให้มันแน่น” แม่เฒ่าก็ถึงหน้าบ้าน เช้านี้บ่ทันใส่บาตร เหลือบเห็นก้อนข้าวนึ่งบนตอรั้ว อีเพ็ญใภ้หล่าทำหน้าที่แทนแล้ว

“ทิดหงวนไปไส” อิ่มงาย อมหมาก เหยียดขาผึ่งแดดเช้า ยางติ้วต้องแดดเป็นมันวาว

“ไปเรือนผู้ใหญ่”

“ไปหยัง”

“ซุมเขาเว้ากัน ผู้ใหญ่บ้านมันจะดันให้สร้างสนามเด็กเล่น”

“อุบ๊ะ! เล่นแท้ ๆ ยังมีสนาม มันคิดจะแปงสร้างกันอย่างใด ที่ไหน”

“ยินว่าให้แล้วเสร็จก่อนฝนมา ตรงลานหน้าวัด ใต้ต้นติ้วนา”

ศาลาการเปรียญเป็นสภา เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับวัดจึงใช้วัดเป็นเวทีอภิปรายแทนสถานที่อื่น บ้านกับวัดแยกกันบ่ออก งานของบ้านหลายครั้งเกี่ยวโยงถึงวัด และหลายครั้งงานของวัดหาแยกเด็ดขาดสิ้นเชิงจากงานของบ้านได้ไม่

“มันบ่คือดอก สิ้นเปลืองเปล่าปลี้ เด็กน้อยให้มันเล่นที่ไหนก็ได้ เงินผ้าป่ากองนี้สร้างโรงฉันโรงทานดีกว่า อันเก่าไม้เปื่อยจวนพังลงทับคอหมาอยู่แล้ว”

“อยากให้มันเทียมบ้านอื่นเมืองเขา เขามีที่ให้ออกกำลังกาย ที่วิ่งยามเช้ายามเย็น ที่พักผ่อนหย่อนใจงามหูงามตา ได้หน้าได้ตา” ผู้ใหญ่บ้านปริญญาเสียงดังตาแดง

“หน้ากับตาข้อยมีอยู่แล้ว บ่อยากได้เพิ่มดอก”

“เจาะจงหยังคือต้องเป็นลานหน้าวัดร่มติ้ว ข้างศูนย์ฯ อบต.นั่นก็ได้ถ้าจะทำ หรือไม่ก็โน่น หนองตีนบ้าน ที่ออกกว้างขวาง”

“ถือเป็นการโปรโมตวัดไปในตัว ผ้าป่าครั้งหน้าซุมเขาสาวหนุ่มสิได้มีที่ถ่ายรูป เป็นที่งามอวดอ้าง คนหลั่งไหลเข้าวัด มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน”

ญาครูคำใบถ่มน้ำหมากลงโถน เงียบฟังนานแล้ว

“ต้นติ้วได้ตัดบ่”

“คุยกับผู้รับเหมาก่อนครับญาครู ถ้ามันติดมันขวาง ตัดกะคือตัดครับ”

“เหลือไว้เก็บกินดอกกินใบบ้างเทอะ ต้นอื่นต้นไกลหัวไร่ปลายนาก็ถูกรถแทรกเตอร์เขยฝรั่งจานทองสีพังป่าพังดงลงหมดแล้ว ที่เหลือจะแปงสร้างทางใดก็สุดแท้แต่เถอะ ผู้ใหญ่” แม่ใหญ่เตียนแม่ค้ำวัดชักผ้าแพรมนขึ้นเช็ดมุมปาก

“โอยแม่ใหญ่ อย่าว่าบาป บ่อึดบ่อยากเลยกะอีแค่ยอดติ้วดอกติ้ว ตลาดนัดบ้านเฮาถึงยามมันมี แม่ใหญ่ค่อยเอากะต่าไปหาบเอา”

แตกฝักแยกฝ่ายออกหลายส่วน ส่วนเห็นด้วยกับผู้ใหญ่บ้านก็อ้างไปถึงความเจริญหูเจริญตาพาเพลินเจริญใจ มีที่เล่นที่ม่วนเป็นส่วนสัด มีที่ถ่ายรูปงามๆ ลงอวดในโลกออนไลน์ ส่วนหลายก็อยู่ในวัยร่วมรุ่นกับผู้ใหญ่บ้านและเชื้อแถวแนวพี่น้องทางมันนั่นแหละ

ส่วนที่เห็นต่างก็บอกว่า ต้นติ้วมันเคยอยู่มาอย่างไรก็ให้มันอยู่อย่างนั้น มันบ่หักบ่โค่นลงทับคอใครตายง่ายๆ ดอก ถ้าจะหักจะโค่นก็คงหักโค่นมาแต่นานแล้ว บ่เหลือค้างดินให้เห็นอย่างนี้

วันหนึ่ง ฟ้าตั้งเค้าลมร้อนพัดตึ้ง จัวน้อยแล่นเข้าหมู่บ้าน ได้ยาแก้เจ็บท้องทั้งเม็ดทั้งน้ำ ลูกอมก้อนน้ำอ้อยจากร้านชำแล้ววิ่งสบงปลิวกลับวัด ญาครูถ่ายร่วงมาแต่เย็นวาน แถมเบาหวานกับความดันมาขึ้นพร้อมกัน ตามัวตามืด ฟ้าปลิ้นแผ่นดินหงาย

“เมื่อวานแนวมาเพลกะมีแต่ซุบผักติ้ว” แม่ออกค้ำวัดเก่าแก่ แจ้งกับผู้ใหญ่บ้านคราวลูก

“โรคผู้เฒ่าน่ะ จิบน้ำต้มเปลือกข่อย ยาธาตุน้ำขาวน้ำแดงสิ้นอย่างละขวดกะหาย บ่มีหยังน่าเป็นห่วง ถ้าไม่ดีขึ้น ผู้ใหญ่จะให้เขาพาไปโรงหมอ”

ฟ้าเดือนห้าไขปล่องลั่นเลื่อน ลมปลุกฝุ่นเศษฟางปลิวฟุ้งหมุนติ้วล่องบน

ติ้วนาดกทั้งดอกทั้งใบ แม่เฒ่ารู้ว่าฟ้าฝนปีนี้ดีแน่แม้ไม่ต้องให้เฒ่าจ้ำดูคางไก่เหมือนในกลอนลำชีวิตชาวนาของแม่ฉวีวรรณ ดำเนิน ได้ว่าไว้ ติ้วดกเก็บกินทั้งหมู่บ้าน เก็บไปต้อนไปฝากญาติพี่น้องบ้านอื่นแล้ว ยังเหลือค้างกิ่งติดก้านหลวงหลาย

ครืน ครืน ฟ้าขากคอครืน ลูกเมฆลั่นเลื่อนตามหลังรอหลั่ง ครืนครืนได้ไม่กี่คืน เสียงสนั่นครืนลงฟาดฝุ่นกลบสิ้นเสียงฟ้า เสียงครืนอย่างว่าแม่เฒ่าจับทิศ

มันลอยมาจากทางวัด

เก็บกระดูกญาครูแล้วฝนฟ้าแรกหลั่งเทลงมา

ลานดินเป็นลานซีเมนต์ มีถนนตัวหนอนสำหรับวิ่ง สวนหย่อมผืนหญ้า ตรงที่ติ้วนาเคยปักดินมีประดู่ต้นเท่าแขนปักแทน ไม้ประดับทั้งในและนอกกระถางถูกจัดเรียงล่ายส้ายตามแบบตามแปลน ไม้โยก ไม้หมุน เครื่องวิ่ง ราวโหน บันไดสไลด์ อุโมงค์ปล่องลอดทาสีใหม่เอี่ยม ที่มีจักรยานก็ปั่นเล่นรอบ ที่ไม่มีก็หกก็โหนไปตามเรื่องตามราวพอนับหน้าได้ในตอนแรก ก่อนทยอยพาหน้าหายไปเมื่อฝนสองฝนสามเทรั่วลง ทิ้งร้านค้าโบกปูนดิบดีทาสีเอี่ยมอ่องของคุณนายผู้ใหญ่บ้านเปียกเหงาเจ่างัน

“ไอ้พัดมันบอกไม่มีเฉย น่าโมโหนัก สัญญากันดิบดีว่าต้นนานี้จะให้ข้าวปลูก มันเสือกโยนลูกบอกว่าหยังบ่ไปเอาที่บ้านผู้ใหญ่โน่น” ถอดหมวกไผ่สานออกวีไอร้อนออกจากหน้า ร้อนในใจยังยากที่จะวี ทิดหนุ่มลูกปลายไส้ผู้ร่วมชั้นเรียนกับผู้ใหญ่บ้าน เอ่ยกับเฒ่าผู้แม่ก่อนข้าวงายวันหนึ่ง

“ไหงเป็นอย่างงั้นล่ะ ไอ้พัดนั่นก็เชื้อแถวแนวเรา บ่ให้เชื้อให้แถว กูถามมึง แล้วมันจะให้ไผ”

“ปีนี้ดูท่าฝนดี ข้าวปลูกพันธุ์ดีบ่มีใส่นาแล้วละมั้ง” ส่ายหน้าขึ้งตึง

“ไม่ลองไปหากับไอ้บุญทันคุ้มลับแลดูล่ะ เป็นตายง่ายยากอย่างไรก็เคยเบิ่งแงงดูแลกันมาตั้งแต่คราวพ่อมึงกับพ่อมันออกค้า”

“อีแม่ บ่มีข้าวปลูกพันธุ์ดีแนวงามกะบ่ตาย บ่ได้ดำก็หว่านเอา หว่านได้แค่ไหนเอาแค่นั้น หว่านแล้วข้อยสิไปกรีดยางเมืองบึงกาฬ” รถเครื่องบึ่งพรวด สิ้นแต่ฝุ่นยังไล่ตามบ่ทัน

บ่อปลักได้น้ำฝน รอยแตกเขิบเมื่อตอนแล้งเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกันใต้น้ำโคลน ลำเก่ากลอนนั้นแว่วมาวอนๆ เหล่าเขาต่างแยกหน้าสู่งานตนบ่สนใจกัน อีคำน้อยเรือนร่วมรั้ว ไปนาทุกปีต้องผ่านทางนี้ ปีนี้ถามมัน มันบ่ปากพอคำแถมเลี่ยงไปนาทางอื่น จานทองสีพ่อเมียฝรั่งเคยนั่งกระบะเอาหมากพลูมาต้อนมาหา พอผ่านหน้าบ้าน มันเร่งเครื่องใส่ จะเหยียบเอาอีด่างให้สำลักเลือดตายก็หลายครั้ง

ฟ้าอึมครึมคือคนหนักอก หากหน่วยตาบ่บ้าบ่ป่วง สีเมฆเขียวคล้ำคล้ายเลือดอมหนอง ควรแจ้งก็บ่แจ้ง วันไหนมีแดดก็ดุกล้าเต้นตัวยิบๆ เผาหัวปลาซิว หน้านาปีนี้ผิดแผกแปลกตา อยากตกก็ตกปานฟ้าแตก ใบข้าวสลัดน้ำบ่ทันแห้งก็ออกแดดเดือดกล้า แดดไม่ทันดับเตาก็ตั้งเค้ามืดมาอีก หม่อมหนุ่มจัวน้อยพอสิ้นญาครูก็ออกโผดผายบางตา

เห็นว่าหลายรูปพ่อแม่พี่น้องส่งให้ไปจำพรรษาที่อื่น

ลมปลิดใบมะขามหล่นกราวปานฝูงมีปีก นั่งเหยียดขาหน้าบ้าน แคร่ไม้ไผ่ตากฝนเป็นสีหม่นชื้น เสื่อกกผืนเก่าก็ชื้น อีเพ็ญใภ้หล่ายากการนาหวานข้าวช่วยผัวคงลืมพับเก็บเข้าร่ม อมคำหมาก ค้อมหลังลง ศอกตั้งเข่า อีด่างเอี้ยวตัวสับฟันไล่งับหมัดแมงบนแผ่นหลัง ตกมาฝนนี้มันเฒ่าลงมาก ขนหล่นเห็นหนังย่นย้วย ยามเดินโดกเดก นมยานกวัดไกวด้วยลูกหลายครอก

คมเวลาทิ้งรอยขีดจางเต็มส้นแต่บ่มีเลือดออกแล้ว บ่เจ็บบ่ปวดแล้ว เดินไปจังหันใส่เพลได้อย่างเคย ยางติ้วดีแท้ดีว่า ครีมอีหล่าก็ดีในใจของมัน ยางติ้วก็ดีในใจของกู เกรงแต่หนาวปีหน้าถ้าตีนกลับมาแตกเลือดซิบอีก แม่เฒ่าเงยส่องไปทางประตูโขง เห็นบางรอยแตกนับวันยิ่งถ่างเดือด ใจเหี่ยวๆ สะท้านเยือก ยังคิดบ่ออกว่าจะเอาอะไรทา

“เดี๋ยวขี้เรื้อนก็กินมึงหมด” อีด่างแนมหน้า เฒ่าต่างเฒ่าต่างสบตากัน