เรื่องสั้น : เด็กกับหน้าต่าง

ผู้ใหญ่ส่วนมากวุ่นอยู่ที่โต๊ะใหญ่กลางศาลา ปล่อยเด็กๆ หลายคนหลายรุ่นไว้กับฉันที่โต๊ะของเล่น กับสี กับกระดาษ ลูกโป่ง ดินน้ำมัน แม่เหล็ก ฯลฯ

เด็กแต่ละคนสนใจของแต่ละอย่างต่างกันไปในแต่ละขณะ

เราอยู่บนศาลาวัด กว้างมาก พื้นไม้กระดานเป็นเงาแวววับ ฉันชอบมองโมบายที่ทำจากลูกปัดกับหลอดกาแฟ ซึ่งพับอย่างละเอียดบรรจง ร้อยเข้าหากันจนเป็นพุ่มทรงขนาดใหญ่ห้อยประดับลงมา

สวยมากโดยเฉพาะตอนอยู่ในภาพถ่าย โมบายเหล่านี้จะช่วยให้องค์ประกอบภาพสมดุลขึ้น ทำให้ภาพงามเด่นพริ้มเพรา

เด็กส่วนมากชอบวาดรูป กระดาษขาว กับดินสอ หรือกับสี เขามีบางอย่างที่อยากจะลากเส้นวาดเขียนขีดข่วนอะไรลงไปเสมอ เป็นเรื่องราวบางอย่างที่พวกเขารู้สึกหรือกำลังทำความเข้าใจ

แต่บางคนก็มีพลังงานล้นเหลือ ต้องการมากกว่ากระดาษแผ่นเล็กๆ อาจต้องการกระดาษแผ่นโตกว้างขวางซึ่งตอนนี้ฉันไม่มีให้ เขาจึงวิ่งเล่นสำรวจตรวจตราไปทั่ว

เช่น เด็กชายเคน เป็นต้น เขาอายุ 1 ขวบกว่า ชอบทำอะไรที่ต้องทุ่มเทพลังงานลงไปอย่างมากมาย เช่น การวิ่ง รื้อ ปีน ปั้น กระโดด ชอบใช้เรี่ยวแรงพลัง แต่เขาไม่พูด ทั้งที่การพูดก็ใช้แรงพลังมากมายเช่นกัน หรือเป็นเพราะสำหรับเขาแล้ว การพูดต้องใช้พลังมากมายจนเขามีไม่พอ

เราปั้นดินน้ำมันและเล่นแม่เหล็กดูดและผลัก เขาชอบมาก ฉันตื่นตัวตลอดเวลาเมื่ออยู่กับเขา

เด็กหญิงแพรว อายุ 1 ขวบกว่า ไล่เลี่ยกัน เธอชอบให้คนอื่นเอาใจใส่ดูแล ไม่ชอบถูกละเลย ไม่ชอบที่จะให้ฉันแบ่งเวลาให้คนอื่น

เคนจอมพลังสนุกกับแม่เหล็กของเขาเป็นอย่างมาก ง่วนอยู่กับแม่เหล็กนั้นครู่ใหญ่ แต่พริบตาก็ไปเกาะขอบหน้าต่างอยู่แล้ว ในมือยังคงถือแม่เหล็ก

ขอบหน้าต่างนั้นไม่สูงมากนัก ประมาณหน้าอกตอนที่เขายืน

เคนเกาะขอบหน้าต่างนั้น สายตามองออกไป ฉันเดินไปใกล้ นั่งลง และมองตาม มันน่าสนใจจังเลย น่าสนใจไปหมด มีทั้งรถที่จอดเรียงรายตรงลาน รถมีหลากสีสันสวยจริงๆ ต้นไทรใหญ่มีใบมากมาย เวลาลมพัดใบเหล่านั้นจะสั่นเหมือนมันพากันหัวเราะ มีทรายไล่ระดับสูงต่ำเหมือนแนวคลื่นถมรอบโคนต้นไทรใหญ่นั้น หลังคาโบสถ์มีนกมากมาย ทั้งบินไปและบินมา เกาะลงตรงบางตำแหน่งก็มี เด็กชายคงจะสนใจมันทั้งนั้น

เขามองสิ่งเหล่านั้นอยู่นาน แล้วในที่สุดก็ก้มหน้าลง เขย่งเท้าเล็กน้อยเพื่อจะมองเห็นพื้นด้านล่างได้ชัดๆ มองลงไป ตรงตำแหน่งพื้นดินที่ตรงกับขอบหน้าต่าง มอง นิ่ง และนาน

นานจนฉันคิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว จึงชวนเขากลับไปนั่งเล่นที่เดิม

แต่เขาไม่ยอมกลับ ยังสนใจอยู่ ไม่สนใจข้างนอกนั่นแล้ว แต่สนใจข้างล่างอยู่

เขาก้มหน้าลง จ้องมอง เขย่งเท้า ฉันลองดึงตัวเขาออกเบาๆ ก็รั้งมือเกาะแน่น ไม่ยอมผละห่างขอบหน้าต่างนั้นเลย ตอนแรกฉันลองก้มมองตามก็ไม่เห็นจะมีอะไร จึงลองจ้องบ้าง จึงเห็น

หญ้า มีต้นหญ้าอยู่

หญ้าธรรมดาๆ นี่แหละ มีหย่อมหนึ่ง ไม่เยอะมาก ไม่แปลกตา เป็นหญ้าธรรมดาที่เราเห็นกันจนชิน กอเล็ก เตี้ย สีเขียว

ลำพังหญ้าก็คงก็ไม่เท่าไหร่ แต่ที่น่าสนใจคือมีลมด้วย กลายเป็นหญ้ากับลม และลมพัดหญ้า

ฉันเพิ่งเห็นว่าใบหญ้าไหวน้อยๆ ไปทางทิศเดียวกัน สายลมเรียงใบให้ขยับอย่างน่าดู

ฉันรู้แล้วว่าเขาประทับใจมันอย่างแน่นอน จึงคุกเข่าลงใกล้ๆ แล้วก็ดูหญ้ากับลมพร้อมกับเขา

พอฉันหันไปทางหน้าต่างอีกบาน แพรวก็ไปยืนเกาะขอบหน้าต่างอยู่แล้ว ฉันก็เลยปล่อยคนนี้ เดินไปหาอีกคน

เด็กหญิงกำลังมองหลวงพ่อที่ล้างพื้นโบสถ์ด้วยสายยางฉีดน้ำ เธอมองหลวงพ่อไปเรื่อยๆ สักพักก็เริ่มสนใจบานหน้าต่างใกล้กับข้อศอกของตัวเอง เขี่ยกลอนดังก๊อกๆ แก๊กๆ เหมือนเสียงเรียกให้ใครสักคนหันไปมอง ฉันอยู่ใกล้ๆ เธอครู่หนึ่ง จึงพยายามดึงความสนใจ ชวนให้เธอกลับมานั่งที่ เธอก็ยอมมาง่ายๆ ส่งแพรวนั่งลงกับเด็กคนอื่นๆ แล้วฉันก็มองไปหน้าต่างบานเดิม

เคนยังคงก้มมองหญ้ากับลมของเขาอยู่ ฉันเบาใจที่ทุกอย่างราบรื่นดี แต่พอมองในมือของเขา แม่เหล็กไม่อยู่แล้ว

ฉันเดินไปหาเด็กชาย ชะโงกมองตาม แม่เหล็กอยู่ข้างล่างนั่น เขาโยนมันลงไป

เด็กหญิงแพรวได้ลูกโป่งสีชมพู เธอชอบ กำลังเล่นลูกโป่ง ยายของเธอเอาใบตองมานั่งพับใกล้ๆ

พอยายเผลอ แพรวก็มายืนที่หน้าต่างของเธออีก เอาลูกโป่งก้านพลาสติกสีขาวมาเสียบไว้ตรงร่องใส่กลอน

ยายไม่ได้เดินตามมา ฉันจึงคอยมองเธอไว้ เธอยังนิ่งอยู่ ฉันจึงหันไปมองเด็กชายอีกที

เขาไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว

ฉันตกใจรีบวิ่งไปชะโงกมองลงไปข้างล่าง ไม่เห็น แต่แม่เหล็กของเขายังอยู่กับหญ้านั่น ฉันรอครู่หนึ่ง เผื่อว่าเขาจะลงมาเก็บ ก็ไม่เห็นมา

เด็กชายจอมพลังหายไป หายไปแบบนี้จะไปทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น เขาเคยสำรวจไปทั่ว จนถึงครัว จนถึงห้องเก็บของที่ไกลออกไปจนเป็นที่ร่ำลือ

ชะโงกไปดูอีกที ไม่อยู่

หายไปไหนนะ

ฉันเริ่มเดินหารอบๆ เกือบทั่วศาลา จนถึงครัวก็ไม่เจอ ห้องเก็บของที่เขาเคยไป ที่ระเบียงหลัง ในที่สุดฉันก็เดินไปที่บันได เพื่อจะลงไปหาข้างล่าง

เราพบกันตรงนั้น

เขาถือแม่เหล็กเอาไว้ในมือ เดินขึ้นบันไดมาช้าๆ ทีละขั้น

ก่อนหน้านี้แม่ของเขาบอกว่าเขาขึ้นบันไดเองได้แล้ว ฉันจึงปล่อยและรอ เขาขึ้นมาถึงพื้นศาลาแวววับด้านบน แล้วก็เดินผ่านไป เหมือนฉันไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ฉันเดินตาม รู้สึกว่าตัวเองสูงใหญ่เหมือนยักษ์

เด็กชายถือแม่เหล็กไปนั่งที่โต๊ะของเล่น วางแม่เหล็กลง แล้วหยิบดินน้ำมัน มุ่งไปยังหน้าต่างอีก

หลังจากนั้นก็เป็นการโยนดินน้ำมัน ฉันตามไปนั่งใกล้ๆ เฝ้าดู พยายามจะเห็นในสิ่งที่เขาเห็น แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วเขาเห็นอะไร

ฉันเห็นว่าดินน้ำมันจะมีขนาดเล็กลงจากจุดที่เรามอง ซึ่งก็เป็นเพราะระยะระหว่างตัวเรากับพื้นด้านล่าง เห็นสีของดินน้ำมันที่เป็นการขยุ้มรวมหลากสี พลิกแต่ละด้านก็จะมองเห็นสีไม่เหมือนกัน

ถ้าฉันโยนเล่นเองสองครั้งฉันก็คงเบื่อ อาจจะเบื่อตั้งแต่แรก หรืออาจจะเบื่อก่อนจะโยนด้วยซ้ำ ฉันคงไม่โยนเล่นหรอก

แต่เขาไม่เบื่อ เขาโยนมันลงไป มองมันครู่หนึ่ง แล้วก็เดินลงบันไดช้าๆ ทีละขั้น ไปเก็บมันขึ้นมา ฉันบอกแม่ของเขาไว้ แล้วก็ไม่คอยเดินตามอีก แม่ของเขาจึงมานั่งแถวๆ บันไดเพื่อคอยระวัง แต่เราก็ไม่ได้คอยเดินตามเขาอีก เราปล่อยให้เขาเทียวเก็บดินน้ำมันและขึ้น-ลงบันไดที่สูงชันสำหรับเขาอยู่นานทีเดียว

เคนโยนซ้ำๆ รอบแล้วรอบเล่า ดินน้ำมันหลากสีที่ถูกผสมกันจึงซับก้อนกรวดเล็กๆ เอาไว้มากมาย

ฉันหันไปสนใจเด็กคนอื่นๆ ที่โตกว่าแต่ก็ต้องการฉันเช่นกัน ช่วยจัดการเรื่องกระดาษ ดินสอ กาว สี อะไรต่างๆ อยู่ครู่หนึ่ง

หันไปที่เด็กชายที่หน้าต่างอีกที ตัวของเขากำลังเอียง มือข้างหนึ่งเกาะขอบหน้าต่างไว้ ขาข้างหนึ่งยังเหยียบพื้นกระดาน แต่ขาอีกข้างกำลังปีนขึ้นไป ปลายนิ้วเท้าจิกเกาะแผ่นกระดาน สเต็ปต่อไปก็จะเป็นการพาดขาขึ้นไปถึงขอบหน้าต่างนั้น

ฉันกระโจนเข้าไปตะครุบตัวเขาไว้ ดึงออกมา ได้ตัว แต่ไม่ได้มือ เขาไม่ยอมปล่อย

เขาเพิ่มเรี่ยวแรงจิกนิ้วจับขอบหน้าต่างเอาไว้อย่างเต็มที่ นานพอควร แต่ในที่สุดฉันก็ค่อยๆ แกะนิ้วเล็กๆ แต่แข็งแรงเหมือนรากไม้นั่นได้สำเร็จ ฉันดึงตัวเขามานั่งตัก กอดเขาไว้ หอบทั้งคู่

เขาไม่พูด ไม่ยอมสูญเสียพลังไปกับคำพูดเลย เขาเป็นคนแบบนี้ ฉันไม่แน่ใจว่าจะคุยกับเขาให้ลึกซึ้งได้ยังไง ควรใช้วิธีพูดคุยไหม

ไม่แน่ใจหรอก แต่ฉันก็เริ่ม

หนูอยากหล่นลงไปเหมือนของเล่นหนูใช่ไหม ฉันก้มหน้าลงไปถามเบาๆ ยังคงกอดเขาไว้

ฝ่ายนั้นเงียบ จ้องมองอากาศสีขาวตรงกลางบานหน้าต่างที่เขาถูกขัดขวางอย่างน่าเสียดายเมื่อสักครู่นี้ คงคิดว่าเขาน่าจะได้ปีนขึ้นไปอยู่ในกลางกรอบนั่น และน่าจะได้กระโดดลงไป

กล้ามเนื้อยังไม่สยบยอมต่อฉันอย่างแท้จริง ยังคงรอโอกาส แต่เขาจะไม่ได้รับโอกาสนั้นหรอก ฉันกอดเขาไว้แน่น แล้วค่อยๆ คลายอ้อมกอดลง จากนั้นก็นวดไหล่เขา

หนูอยากจะตกลงไปบ้าง ดูว่าหนูจะเล็กลงหรือเปล่าใช่ไหมคะ ฉันพูดต่อ เดา แค่ลองถามดู เขาคงไม่ตอบหรอก แต่เขาอาจจะฟังก็ได้ เขาอาจคิดตาม ใครจะไปรู้ เขายังคงเงียบ มองหน้าต่างแน่วแน่

รู้ไหมว่าหนูจะไม่เล็กลงหรอก หนูแค่ไกลออกไปเท่านั้น ฉันพูดช้าๆ ชัดๆ

บางครั้งฉันก็งงว่าจะต้องทำตัวยังไง พูดยังไง แค่ไหนถึงจะพอดี แค่ไหนถึงจะตอบสนองความสงสัยอันเข้มข้นหรือความอยากรู้อยากเห็นอันกว้างไกลของเขานั้นได้

หนูจะตัวเท่าเดิมนี่แหละ ฉันบอกเขา เอามือทั้งสองข้างบีบไหล่แรงขึ้น ให้เขารู้สึกว่าเท่าเดิมคือเท่าไหน

เวลาหนูมองประตูนั่น ฉันชี้มือไปที่ประตู เวลามอง ก็เหมือนกับว่าประตูเล็กลง แต่พอเราเดินไปใกล้ มันก็เท่าเดิม มันแค่ไกลเท่านั้นเอง ความไกลทำให้ดูเหมือนมันเล็ก ฉันพูดอะไรยากๆ กับเด็กเล็กๆ ถ้าเขาฟังฉันก็อยากจะลองบอก ซึ่งฉันพบว่าเขาฟัง

เขานิ่ง เขาตั้งใจฟัง

ถ้าแค่อยู่ไกลก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหนูหล่นลงไป หนูจะเจ็บ รู้ไหม จะเป็นแผล หนูต้องไม่กระโดดลงไปนะ

เขาเงียบ ยังคงดื้อรั้นอยู่ในกล้ามเนื้อ ในลักษณะการนั่ง ลักษณะการมอง แต่น้อยลงแล้ว ฉันไม่ต้องกอดเขาแล้วก็ยังได้ แต่ก็ยังกอด

ฉันเอื้อมไปหยิบดินน้ำมันที่ยังเหลือในกล่อง คิดว่าจะปั้นแมว หรือหมา แล้วชวนกันโยนลงไป แล้วก็ลงไปเก็บมาดู พอเห็นตัวสัตว์เบี้ยว ค่อยบอกเขาอีกครั้ง ว่าแมวเจ็บนะ ขามันหัก หรืออะไรประมาณนี้ ถ้ายังไม่พอ เราก็จะปั้นคน แล้วก็บอกอีกว่า คนนี้โดดแล้วเจ็บเลย ขาหัก หรือแขนหัก หรือถลอก ก็ว่ากันไป

แต่เขาจะรู้จักความเจ็บไหม จะรู้ไหมว่าแขนหักมันเจ็บมากแค่ไหน เจ็บมากกว่าแค่ล้มยังไง ที่สำคัญก็คือ เขาจะรู้ไหมว่าความรู้สึกเจ็บมันเป็นยังไง และเพราะอะไรฉันจึงต้องพยายามปกป้องเขาจากความเจ็บนั้น ก็คงไม่รู้อยู่ดี หรือว่าเขารู้ ฉันก็ไม่รู้

ฉันคิดคำพูดต่างๆ เอาไว้ มือข้างหนึ่งคลึงดินน้ำมัน มืออีกข้างก็ยังคงนวดไหล่เด็กชาย

ตรงโต๊ะอาหารซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ มีถ้วย จาน ชาม ช้อน ถาด เยอะแยะไปหมด แทบทุกภาชนะบรรจุอาหารไว้เต็ม กลิ่นหอม แต่เราทั้งคู่ก็ไม่ได้สนใจ

เด็กหญิงแพรวกำลังวิ่งไล่จับลูกโป่ง ยายของเธอคอยมองดู เคนก็มอง แต่คงไม่อยากเข้าไปเล่นด้วย เขาแค่เอียงคอไปทิศนั้นทิศนี้

ดูเหมือนเขาสงบลงแล้ว และเริ่มสนใจสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ฉันจึงไม่ได้สานต่ออะไรที่คิดไว้

แต่ยังมีดินน้ำมันก้อนนั้นที่หล่นอยู่ด้านล่าง ที่เราจะต้องรับผิดชอบ

เราไปเก็บดินน้ำมันที่หล่นไปทิ้งถังขยะกันดีไหม ฉันชวน เขาลุกขึ้นทันที

เราจูงมือกันไป วิธีจูงมือก็คือ ฉันจะเป็นฝ่ายจับมือเล็กๆ ของเขาเอาไว้ทั้งมือก่อน จากนั้นเขาจะค่อยๆ ขยับนิ้วไปมา จนกระทั่งกลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายจับนิ้วก้อยของฉันเอาไว้แน่น นิ้วก้อยเพียงนิ้วเดียว

แต่มือฉันจะสูงกว่าและนำหน้า ทำให้ฉันเป็นผู้นำ ส่วนเขาก็จะดึงรั้งหรือจับเบาๆ ควบคุมน้ำหนักมือ เพื่อกำหนดจังหวะย่างก้าวของฉันอีกที ฉันชอบจูงมือกับเด็กๆ แบบนี้ คิดว่าเด็กๆ ก็น่าจะชอบเหมือนกัน เพราะเด็กๆ จับมือฉันแบบนี้กันแทบทุกคน

เราเดินกันไปช้าๆ ผ่านกล่องของเล่น ผ่านลุงป้าน้าอาที่ล้อมวงพูดคุย ผ่านโต๊ะกลางศาลาที่วางขนมหอมหวานมากมาย แล้วพอถึงบันไดเขาก็ปล่อยมือฉันทันที

เขาต้องการจะเดินลงบันไดที่สูงชันนั้นด้วยตัวเอง