เถียนมี่มี่ยินดีบริการ | ปักกิ่งไม่อิงนิยาย

ทุกๆเดือนผมมักจะไปเยี่ยมคุณลุงสุชาติและคุณป้าศรีกานดาที่คอนโดใจกลางกรุงปักกิ่งเป็นประจำ ลุงสุชาติเป็นอดีตสื่อมวลชนที่ร่วมอยู่ในคณะแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมที่ทางรัฐบาลจีนยุคนายกโจวเอินไหลเชิญมา ผู้นำคณะคือ คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือศรีบูรพา นักเขียนนักหนังสือพิมพ์ไทยผู้ยิ่งยงในอดีต แต่รัฐบาลทหารของไทยในยุคนั้นมองว่า คณะดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงจึงหยิบยื่นข้อหาฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ให้ และสื่อมวลชนไทยได้ตั้งชื่อให้กับคณะของท่านศรีบูรพาว่า กลุ่มกบฏสันติภาพ

ลุงสุชาติลี้ภัยอยู่ประเทศจีนยาวนานหลายสิบปี เรียนรู้ภาษาจีน เป็นคนไทยที่ทำงานทางด้านสื่อสารมวลชนจีน แต่งงานและมีครอบครัวอยู่ที่ปักกิ่ง เมื่อผมมาทำงานที่สถานีวิทยุแห่งชาติจีน หรือ ซีอาร์ไอ เมื่อมีโอกาสเหมาะผมจึงมาคารวะผู้อาวุโสสักครั้ง ลุงสุชาติและป้าศรีกานดาต้อนรับผมเป็นอย่างดี ลุงชอบเล่าประวัติศาสตร์ เรื่องราวของสื่อมวลชนในยุคก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลา(2516) ที่ต้องต่อสู่กับอำนาจเผด็จการทหาร ผมฟังอย่างสนใจและซักถามในสิ่งที่สงสัย เพราะประวัติศาสตร์บางเรื่องราวก็ไม่ตรงกับในหนังสือเรียนของกระทรวงศึกษาเท่าไหร่นัก

ทุกๆเดือนในวันหยุด ผมจะหาเวลามาเยี่ยมเยียนคุณลุงและคุณป้าที่คอนโดเป็นประจำ นั่งคุยกันจนเกือบจะเที่ยง ลุงมักจะชวนผมออกไปทานอาหารกลางวัน ลุงสุชาติมีร้านอาหารจีนกลางเจ้าประจำอยู่ที่ห้างจินหยวน ห้างใหญ่แห่งหนึ่งของกรุงปักกิ่ง ภัตตาคารจีนที่หมายของเราอยู่บนชั้น5ของห้าง ลุงบอกว่า ที่นี่อาหารอร่อยและบริการดี ซึ่งก็จริงอย่างที่ลุงว่า รสชาติอาหารที่นี่อร่อยใช้ได้ไม่จืดชืดแบบอาหารจีนทั่วไป การบริการดีดูแลเอาใจใส่ลูกค้าไม่ขาดตกบกพร่อง และบริกรที่เข้ามาดูแลเราเป็นประจำ เธอชื่อ เถียนมี่ แต่ลุงกับป้ามักเรียกเธอว่า เถียนมี่มี่

ชาวไทยหลายคนรู้จักเพลงจีนชื่อ เถียนมี่มี่ ของ เติ้ล ลี้จวิน เป็นอย่างดี เพราะเพลงนี้ไม่ได้โด่งดังเฉพาะในเมืองจีนเท่านั้นแต่ดังไปทั่วโลก เป็นเสมือนเพลงประจำตัวของ เติ้ล ลี้จวิน นั่นเอง เถียนมี่มี่ แปลว่า หวานปานน้ำผึ่ง หรือ หวานเจี๊ยบ หรือ หวานมาก ประมาณนี้ซึ่ง เถียนมี่ บริกรที่มาดูแลเราเธอก็เป็นเด็กสาวชาวจีนที่มีรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์หรือจะเรียกว่า รอยยิ้มหนาวเหมือนกับเพลงของ เติ้ล ลี่จวิน ก็ว่าได้

ไม่เพียงรอยยิ้มหวานเท่านั้น แต่เถียนมี่มี่ยังมีอัธยาศัยไมตรีดูแลบริการลูกค้าอย่างดี ทั้งเรื่องการรับการเสิร์พอาหาร เติมชา เลื่อนเก้าอี้ และพูดคุยสอบถามในบางจังหวะที่เหมาะสม ผมเห็นลุงกับป้าส่งภาษาจีนกลางกับเถียนมี่มี่เป็นประจำเมื่อมาทานอาหารที่ภัตตาคารแห่งนี้ และเธอจะเข้ามาดูแลเราเป็นอย่างดี

คุณป้าเล่าว่า เถียนมี่เป็นชาวจังหวัดจือหยัง จังหวัดที่ติดกับเมืองเฉินตูซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑล   เสฉวน เธอเป็นชาวจีนเชื้อสายฮั่น ลูกสาวคนเดียวของบ้าน บรรพบุรุษของเถียนมี่มีอาชีพทำไร่เลี้ยงสัตว์ แต่ระยะหลังโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมาก พ่อของเธอจึงเปลี่ยนอาชีพมาทำงานในโรงงานผลิตอะไหล่รถยนต์ แม่ของเธอยังเลี้ยงสัตว์และปลูกผักเล็กๆน้อยๆอยู่กับบ้าน ครอบครัวไม่ร่ำรวยแต่เรียบง่าย

เธอเหมือนกับหนุ่มสาวชาวจีนคนอื่นๆที่เมื่อโตขึ้นก็อยากเข้ามาแสวงโชคในเมืองใหญ่ เถี่ยนมี่เรียนจบชั้นมัธยมปลายที่บ้านเกิดจากนั้นเธอขอพ่อกับแม่เดินทางมาปักกิ่งกับเพื่อน มาหางานทำหาเงินและส่งตัวเองเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งพ่อแม่ของเธอไม่อยากให้มาแต่ไม่อยากขัดใจลูก ผมฟังแล้วพูดว่า เถียนมี่ก็เหมือนกับหนุ่มสาวต่างจังหวัดในบ้านเราที่จากครอบครัวเข้ามาหาความหมายในกรุงเทพฯ มาเรียนหนังสือ มาหางานทำ บางคนมีครอบครัว บางคนสมหวังแต่หลายคนอาจผิดหวัง

“ชนบทของจีนกว้างใหญ่ไพศาลกว่าบ้านเรามาก เถียนมี่เคยบอกว่า ตอนจบมัธยมอยากมาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้หรือไม่ก็ปักกิ่ง แต่ที่เลือกปักกิ่งเพราะเธออยากเรียนมหาวิทยาลัยปักกิ่ง สาขาวิชาภาษาต่างประเทศ และที่เซี่ยงไฮ้ดูเหมือนค่าครองชีพจะแพงกว่าที่ปักกิ่งแต่ก็คงไม่ต่างกันมากนักหรอก” ป้าว่าเรียบๆเป็นภาษาไทยขณะที่เรานั่งรับประทานอาหารกันและเถียนมี่ยืนคอยบริการอยู่ใกล้ๆ

ผมหันไปมองเธอและยิ้ม เถียนมี่ยิ้มตอบ เราคุ้นกันพอควรเพราะมาทานอาหารที่นี่หลายครั้งแล้วแต่ลุงกับป้าไม่เคยคุยเรื่องเถียนมี่ให้ฟังเลยจนกระทั่งวันนี้ ผมหันกลับไปถามป้าว่า แล้วเถียนมี่อยากเรียนอะรไครับ ป้าเล่าต่อว่า เถียนมี่อยากเรียนภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะภาษาไทย เธออยากทำงานเป็นไกด์ อยากพาคนจีนไปเที่ยวเมืองไทยและพาคนไทยมาเที่ยวที่เมืองจีน เถียนมี่เคยคุยให้ป้าฟังว่า เธอชอบเมืองไทย เพราะเมืองไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่ อากาศดี อบอุ่นและมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย อีกทั้งคนไทยใจดีและยิ้มเก่ง เธอเคยอ่านเรื่องเมืองไทยจากนิตยสารท่องเที่ยวในห้องสมุดและเคยเข้าไปดูในอินเทอร์เน็ตของโรงเรียนที่บ้านเกิด

“แล้วตอนนี้เถียนมี่เรียนมหาวิทยาลัยปีไหนแล้วครับ” ผมถาม ป้านิ่งไปก่อนตอบ “มาอยู่ที่นี่ได้สองปีแล้วแต่ยังไม่ได้เรียนเลย ต้องทำงานเก็บเงินค่าเล่าเรียนก่อน” ผมเงียบ หันไปยิ้มให้เถียนมี่เพราะอยากจะส่งมอบกำลังใจให้กับเธอ ก่อนกลับลุงมักจะให้ติ๊บกับเถียนมี่ทุกครั้งและค่อนข้างมาก ซึ่งผมเพิ่งจะเข้าใจในเวลานี้เอง ผมให้ป้าช่วยบอกเธอว่า “ขอให้เธอได้เรียนมหาวิทยาลัยตามที่หวัง” ป้าหันไปพูดเป็นภาษาจีนกับเถียนมี่ เธอยิ้มให้เหมือนจะกล่าวขอบคุณ

ยามบ่ายของวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 อีกไม่กี่เดือนก็จะครบกำหนดเดินทางกลับบ้านของผมแล้ว ผมนั่งทำงานที่หน่วยภาษาไทยของซีอาร์ไอตามปกติ แต่วันนี้ดูเหมือนจะมีเรื่องพิเศษเกิดขึ้น ผมสังเกตเห็นเพื่อนๆในหน่วยตื่นเต้นและตื่นตัวกับการแปลข่าวอย่างไรบอกไม่ถูก และเมื่อข่าวถูกส่งมาให้ผมตรวจผมจึงเข้าใจ เกิดแผ่นดินไหวที่มณฑลเสฉวน ผมไล่สายตาอ่านข่าว แผ่นดินไหวขนาด 7.8 ริกเตอร์ ยังไม่สามารถระบุจำนวนผู้บาดเจ็บ ผู้สูญหายและผู้เสียชีวิตได้ ทางการจีนระดมกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน

ข่าวแผ่นดินไหวเสฉวนถูกส่งเข้ามาให้ตรวจทานอย่างต่อเนี่อง ผมเองไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องแผ่นดินไหว ได้ยินเพื่อนชาวจีนพูดคุยกันทั้งภาษาจีนและภาษาไทยว่า แรงสั่นสะเทือนมาถึงปักกิ่ง และคืนนี้อาจเกิดอาฟเตอร์ช็อค คุณไช่ หัวหน้าหน่วยภาษาไทยหันมาพูดกับผมว่า “คืนนี้อาจารย์ระวังหน่อยนะครับ อย่านอนหลับสนิท เตรียมตัวไว้ก่อน” ผมตอบรับและกล่าวขอบคุณในความห่วงใยแต่คิดในใจว่า ถ้าเกิดขึ้นจริงๆ ผมอาศัยอยู่บนชั้น6ของคอนโด แล้วจะทำอย่างไร ผมไม่ได้ถามต่อได้แต่ทำงานตรวจทานข่าวแผ่นดินไหวที่   เสฉวนต่อไปด้วยใจระทึก

ข่าวแผ่นดินไหวที่เสฉวนยังมีต่อเนื่องอีกหลายวันหลายสัปดาห์ เพราะเป็นเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่หนักหนาสาหัสอีกครั้งสำหรับชาวจีน ทางการประกาศตัวเลขผู้เสียชีวิตกว่าหกหมื่นแปดพันคน บาดเจ็บกว่าสามแสนหกหมื่นและสูญหายกว่าหนึ่งหมื่นเก้าพันคน วันรุ่งขึ้นหลังเหตุการณ์ที่ซีอาร์ไอได้มีพิธียืนไว้อาลัยแก่ผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าว

หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ผมไปเยี่ยมคุณลุงสุชาติกับคุณป้าศรีกานดาตามปกติ แต่เมื่อเราไปทานอาหารที่ภัตตาคารร้านประจำเถียนมี่ไม่อยู่ที่ร้านเสียแล้ว เธอกลับไปบ้านเกิดของเธอ เราไม่พูดอะไรกันมากได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้เธอสมหวังพบเจอครอบครัวและสิ่งดีๆเมื่อกลับถึงบ้าน

กลางเดือนมิถุนายน 2551 ผมหมดสัญญาทำงานกับซีอาร์ไอจึงเดินทางกลับมาบ้านเกิดด้วยความอาลัยแต่ดีใจที่ได้กลับมาอยู่กับครอบครัว ก่อนกลับเมืองไทยผมได้ไปลาคุณลุงกับคุณป้าและเราก็ไปทานอาหารที่ร้านเดิมเจ้าประจำแต่เถียนมี่ยังไม่กลับมา

ผมได้ข่าวเถียนมี่อีกครั้งเมื่อคุณป้าเขียนมาเล่าให้ฟังทางอีเมลล์ว่า ตอนนี้เถียนมี่มี่กลับมาทำงานที่ภัตตาคารตามเดิมแล้ว หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว เธอกับเพื่อนเดินทางกลับไปเสฉวน การเดินทางลำบากมาก บางช่วงต้องเดินเท้าเข้าไปเมื่อไปถึงบ้านพบเจอแต่ซากปรักหักพัง ทั้งบ้าน โรงเรียน และโรงงานที่พ่อทำงาน ไม่มีอะไรเหลือเลย พ่อแม่ของเธอกลายเป็นผู้สูญหาย เธอกับเพื่อนอาศัยอยู่ที่ศูนย์ผู้ประสบภัยของทางการที่ตั้งขึ้นชั่วคราว ช่วยทางการกู้ซากที่ทับถมและช่วยกันค้นหาครอบครัวแต่ก็ไม่พบ

เธอประกอบพิธีทางศาสนาให้กับพ่อแม่โดยที่ไม่พบศพและเดินทางกลับมาปักกิ่ง กลับมาทำงานเพื่อเก็บเงินเรียนมหาวิทยาลัย ทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จ คุณป้าบอกว่า ครั้งล่าสุดที่พบกันจิตใจของเธอดีขึ้น เถียนมี่บอกว่า สักวันเธอจะเป็นไกด์พาคนจีนไปเที่ยวเมืองไทยและพาคนไทยมาเที่ยวเมืองจีน

ผมพิมพ์ข้อความลงในเมลล์ “ฝากบอกเธอด้วยครับว่า หลังจากนี้ ขอให้เถียนมี่พบเจอแต่เรื่องสิ่งดีๆและสมปรารถนาตามที่ตั้งใจ”