ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 มกราคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
จ๋าจ๊ะ วรรณคดี / ญาดา อารัมภีร
เปลี่ยนเนียนๆ
ใครเคยคิดว่าคนแต่ละชาติ มีวิถีชีวิตหรือแบบแผนการดำเนินชีวิตคงที่เฉพาะตัว จะเปลี่ยนใจก็ยังไม่สาย เพราะวัฒนธรรมนั้นเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นภาษา เครื่องแต่งกาย ความคิดความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ฯลฯ ก็ตาม
ที่ไม่เคยมีก็มีได้ ที่ไม่เคยเห็นก็เห็นได้
ในนิทานคำกลอนเรื่อง “พระอภัยมณี” ตัวละครไทยและฝรั่งรับวิถีวัฒนธรรมของกันและกัน เริ่มจากภาษาที่ใช้ ดังตอนที่พระอภัยมณีเผลอตอบนางสุวรรณมาลีพระมเหสีเป็นภาษาฝรั่ง
“พระเคลิ้มคล้ายหมายมั่นว่าวัณฬา ทรงภาษาฝรั่งตอบบังอร”
แม้พระธิดาสร้อยสุวรรณและจันทร์สุดาที่เกิดจากนางสุวรรณมาลี พระอภัยมณีก็สนับสนุนโดย
“ให้บุตรีพี่น้องสองธิดา ตรัสภาษาฝรั่งทั้งพูดไทย”
ความที่หลงใหลนางละเวงวัณฬาทำให้พระอภัยมณียอมเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ตามนางด้วย เมื่อนางอ้างว่า ‘ทั้งต่างรีตกีดขวางยังไม่เคย มิรู้เลยจะคิดอ่านประการใด’ พระอภัยมณีก็แสดงความจริงใจด้วยการที่
“จึงสัญญาว่าพี่แต่นี้ไป ไม่จากไกลทรามสงวนนวลละออง
จะตามเจ้าเข้ารีตฝรั่งด้วย จนมอดม้วยมิได้คิดเป็นจิตสอง”
เรื่อง ‘เข้ารีต’ นี้ใช่จะมีแต่พระอภัยมณียังรวมไปถึงศรีสุวรรณและสินสมุทร ดังที่สุดสาครรำพันอย่างท้อแท้ว่า
“จะพึ่งบุญพี่ยาพระอาเล่า ก็มาเข้ารีตเมียไปเสียหมด”
ทั้งนี้เพราะสินสมุทรพี่ชายเข้ารีตตามนางยุพาผกา เช่นเดียวกับศรีสุวรรณผู้เป็นอาก็เข้ารีตตามนางรำภาสะหรี พรรคพวกของนางละเวงวัณฬา
ซึ่งไม่ต่างจากนางละเวง เป็นฝรั่งนับถือศาสนาคริสต์แท้ๆ แต่ประสูติโอรสที่เกิดจากพระอภัยมณีในวันสำคัญทางพุทธศาสนา
“อันโฉมยงองค์ละเวงวัณฬาราช คลอดหน่อนาถเมื่อวันเข้าพรรษา
เป็นชายเฉิดเลิศลักษณ์ดวงพักตรา เหมือนบิดาประหนึ่งหล่อลออองค์
ผิวฉวีสีสังข์สำอางอ่อน เหมือนมารดรแต่พระเกศเนตรขนง
ดูคมขำอำไพวิไลทรง มาตุรงค์ให้ชื่อพระมังคลา”
สังฆราชบาทหลวงอบรมสั่งสอนมังคลาให้ศรัทธาศาสนาคริสต์
“จงสัตย์ซื่อถือพระเยวาโห เหมือนกับโมเซสังวาสพระศาสนา”
แต่ทว่าความเจ็บช้ำอับอายขายหน้าที่ถูกนางละเวงหลอกสังฆราช
“จึงบอกเหล่าชาวบ้านทหารศิษย์ เดิมกูคิดกลศึกลึกหนักหนา
แนะความในให้มันอีวัณฬา เจียนจะฆ่าพระอภัยได้หลายครั้ง
มันสับปลับกลับเอาเขาเป็นผัว ช่างชาติชั่วผิดคนแต่หนหลัง
ถึงฆ่าฟันฉันใดกูไม่ฟัง จะไปวังด่าว่าให้สาใจ”
ความโกรธแค้นทำให้สังฆราชด่านางละเวงผู้นับถือศาสนาคริสต์ด้วยคำด่าที่พุทธศาสนิกชนอ้าปากค้าง
“เพราะสับปลับลวงกูผู้มีศีล ทั้งมือตีนจะต้องถ่างบนกางเขน
น้อยหรือรุมทุ่มเถียงขึ้นเสียงเกน อีเมียเถนเทวทัตสัตว์นรก”
กางเขน เป็นเครื่องหมายแทนพระคริสต์ที่ถูกตรึงกางเขน สังฆราชนำมาบริภาษคาดโทษนางละเวงว่าต้องมีสภาพไม่ต่างกัน ร้ายกว่านั้นด่าว่านางคือ ‘อีเมียเถนเทวทัตสัตว์นรก’ พระเทวทัตเป็นพระสงฆ์ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูของพระพุทธองค์ ทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายพระพุทธองค์ให้ย่อยยับ จุดจบของพระเทวทัตคือชดใช้กรรมหนักในนรกอเวจี
สังฆราชเปรียบนางละเวงว่าเป็นเมียเทวทัต พระสงฆ์ผู้มีพฤติกรรมต่ำทราม
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สังฆราชบาทหลวงอ้างถึงยังเกี่ยวกับความเชื่อทางพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและเทพเจ้าองค์สำคัญที่ชาวพุทธคุ้นเคยกันดี
“อันร่างเหมือนเรือนโรครับโศกสุข ตายแล้วทุกข์มันจะมีมาที่ไหน
กูสัตย์ซื่อถือมั่นแม้บรรไลย จะขึ้นไปเป็นพระอินทร์กินสุรา”
นอกจากนี้ ตอนทำพิธีศพของพระบิดาและอุศเรนด้วยการฝังและบรรจุในสุสาน ยังมี ‘การกรวดน้ำ’ อุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตายตามธรรมเนียมชาวพุทธอีกด้วย
“ให้ลูกหลานว่านเครือแลเชื้อสาย ได้ถวายข้าวตอกดอกบุปผา
ให้กราบลงตรงบัลลังก์ตั้งบูชา เหมือนกราบฝ่าพระบาทไม่ขาดวัน
แล้วกรวดน้ำทำบุญกับบาทหลวง ตามกระทรวงส่งให้ไปสวรรค์”
นอกเหนือจากพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ ธรรมเนียมปฎิบัติของคนไทยสมัยก่อนยังเข้าไปมีส่วนในชีวิตประจำวันของสาวฝรั่งตั้งแต่นางกษัตริย์ไปจนถึงนางกำนัลเมืองลังกา
นางละเวงวัณฬาพูดถึงการอยู่ไฟหลังคลอดไว้ตอนหนึ่งว่า
“โอ้แสนเข็ญเห็นไม่รอดเมื่อคลอดลูก ต้องกินหยูกกินยาน้ำตาไหล
ยังมิหนำซ้ำจะร้อนต้องนอนไฟ ยิ่งทุกข์ใจเฝ้าสะอื้นกลืนน้ำตา”
เช่นเดียวกับนางกำนัลฝรั่ง ‘ฟันขาว’ กลายเป็น ‘ฟันดำ’ โดยอัตโนมัติ ดังที่สุนทรภู่บรรยายว่า
“แล้วปิดห้องหับให้ลับลี้ แล้วสีซี่ให้ฟันเป็นมันขลับ”
“แป้งปรัดผัดนวลถ้วนแฉล้ม ยาฟันแต้มติดฟันเป็นมันขลับ”
เก๋ไปกว่านั้นคือ ภาพการปรนนิบัติเอาอกเอาใจพระอภัยมณีของนางละเวง พระสวามีโปรดเสวยหมาก เสวยมานานจนติด นางก็อุตส่าห์จัดเตรียมให้พร้อมสรรพ
“นางแย้มยิ้มพริ้มพรายชม้ายหมอบ ให้ชื่นชอบชั้นเชิงละเลิงหลง
เจียนหมากดิบหยิบพระศรีบุหรี่ทรง ถวายองค์พระอภัยอยู่ใกล้เคียง”
เห็นไหมล่ะ วัฒนธรรมเปลี่ยนได้เสมอ จะเปลี่ยนเพราะความจำเป็นหรือเต็มใจก็แล้วแต่
เปลี่ยนเนียนๆ ทั้งนั้น