เรื่องสั้น : ลบเลือน / นิติพงศ์ สำราญคง

เรื่องสั้น

นิติพงศ์ สำราญคง

 

ลบเลือน

 

“ทํางานด่านหน้า ดูแลรักษาผู้ป่วย ไม่ฉีดวัคซีนได้หรือ” มารดาข้าพเจ้าเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง หลังจากข้าพเจ้ายืนกรานไม่ฉีดวัคซีนซึ่งรัฐบาลสรรหา

แน่ล่ะ ข้าพเจ้ามิใช่ไม่กลัวติดโรคที่กำลังระบาดหนัก ทว่าบนความหวาดกลัวนั้น ข้าพเจ้ามิปรารถนาตกเป็นตัวเลขที่จะถูกนับหากภายหลังฉีดวัคซีนแล้วปรากฏว่าข้าพเจ้าปลอดภัย

สำหรับภรรยาข้าพเจ้านั้น เธอยอมรับในการตัดสินใจ แม้ลึกๆ จะหวั่นเกรงข้าพเจ้าติดโรคและนำเชื้อร้ายเข้ามาแพร่กระจายในบ้านซึ่งมีเด็กเล็ก เธอให้ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะดูแลตนเองอย่างดีที่สุด สวมแมสก์ ล้างมือ ยามเข้าบ้านอันดับแรกต้องผลัดผ้าผ่อนและรี่ตรงไปอาบน้ำสระผมห้ามอิดเอื้อน ข้าพเจ้ารับปาก ในวันที่ปราศจากวัคซีนสำหรับเด็ก ข้าพเจ้าทำได้ดีที่สุดเพียงแค่นี้

ในฐานะเภสัชกร ข้าพเจ้ายอมรับได้ในเรื่องการเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน ตลอดจนการเกิดผลข้างเคียง ด้วยเป็นธรรมดาของร่างกายที่จะตอบสนองเมื่อได้รับยาหรือชีววัตถุต่างๆ เข้ามาในร่างกาย…

“มีเรื่องเล่าอยู่ว่าสมัยหนึ่ง มีผู้นำหนองวัวมาขูดลงบนผิวมนุษย์เพื่อป้องกันฝีดาษ ในระยะแรกมีผู้คนเสียชีวิตเนื่องจากปริมาณหนองมากเกินไปหรือได้รับเชื้อที่ไม่สะอาดพอ ทว่าทุกคราที่เกิดการเสียชีวิต วิธีการก็จะพัฒนาขึ้นกระทั่งวันหนึ่งก็ไม่มีใครตายเพราะการนำหนองวัวมาปลูกบนผิวอีก และ ณ วันหนึ่งโรคฝีดาษก็หายไป แม้เด็กรุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องปลูกมัน”

บนความหวาดกลัวติดโรคระบาดของข้าพเจ้า ยังมีจุดๆ หนึ่งที่กระซิบบอกข้าพเจ้าว่ายังมิสมควรฉีดวัคซีน จนป่านนี้ ข้าพเจ้ายังมิทราบแน่ชัดว่าวัคซีนซึ่งรัฐบาลสรรหามีอันตรายมากน้อยเยี่ยงไร มิพักต้องกล่าวถึงประสิทธิภาพหรือผลของการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

หากข้าพเจ้ารับวัคซีนและมีอันถูกหามส่งเข้าโรงพยาบาล ในแง่เลวร้ายที่สุดคือสิ้นชีวิตนั้น ข้าพเจ้าจะมิใช่ตัวเลขที่ถูกนับเข้าไปอยู่ด้านลบ แต่ข้าพเจ้าจะถูกกระทำให้หายสาบสูญ จมผลุบไร้ร่องรอยในหลุมดำชั่วนิรันดร

ทว่าหากอยู่รอดปลอดภัยภายหลังรับวัคซีน ข้าพเจ้าย่อมถูกเพิ่มเป็นหนึ่งในจำนวนผู้คนที่ฉีดวัคซีนแล้วไม่เกิดอันตราย

ใช่ – ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะตัวแปรที่จะทำให้แขนด้านหนึ่งของตราชั่งเอียงกระเท่เร่ ในเมื่ออีกปลายด้าน จำนวนนับของผู้เสียชีวิตจากวัคซีนนั้นไม่เคยมีอยู่

 

ความทั้งหมดข้างบน

ข้าพเจ้าเขียนไว้ขณะยังมิได้รับการฉีดวัคซีน

แม้บัดนี้ชีวิตของข้าพเจ้าจะหาไม่ ทว่าความทรงจำของข้าพเจ้าก็หาได้ลบเลือน และมันก็ทรงพลังจนทำให้ข้าพเจ้ามิอาจดูดาย จำต้องฟื้นจากความตาย ลุกมาขีดเขียนชิ้นงานสุดท้าย

ในฐานะของจำนวนนับที่มิเคยถูกนับบนแขนของตาชั่งด้านหนึ่ง…

 

ชั้นเก็บสมุดเวชระเบียนสูงจรดเพดาน ผมแหงนหน้าสำรวจจนปวดต้นคอ สมุดเวชระเบียนถูกเก็บรักษาห้าปีก่อนทำลาย แต่ละปีสมุดหลายพันเล่มสิ้นอายุขัย ทว่าชั้นวางกลับคับคั่ง มีการทุบผนังห้องต่อเติมชั้นวางสำหรับจัดเก็บสมุดเล่มใหม่ๆ ผมทราบมาว่าหกสิบปีก่อน ปีแรกของการรักษาเยียวยา โรงพยาบาลมีสมุดเพียงสิบสี่เล่ม เก้าเล่มเป็นสมุดประจำตัวเจ้าหน้าที่ หลังจากเปิดให้บริการครบหนึ่งสัปดาห์ นายแพทย์ผู้อำนวยการสมัยนั้นบังเกิดอาการวิงเวียน สมุดเวชระเบียนเล่มแรกจึงถือกำเนิด ผู้อำนวยการกลายเป็นคนไข้รายแรก และแพทย์ผู้ให้การรักษาก็คือตัวท่านเอง

ผมยืนนิ่งประจันชั้นเก็บสมุดเวชระเบียน กลิ่นกระดาษหมักบ่มนานห้าปีโชยเข้าจมูก สมัยเยาว์วัย ผมกระสากลิ่นวิญญาณบ่อยครั้ง เพียรจำแนกวิญญาณออกจากพลังงานอื่นผ่านจมูกสูดดม หากใครถาม ผมจะตอบว่าวิญญาณมีกลิ่นคล้ายเปลือกส้ม พลังงานไฟฟ้าไหลวนในอากาศกลิ่นละม้ายผลมะตูมสุก ส่วนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีกลิ่นฉุนของลูกเหม็นอย่างอ่อน

เบื้องหน้าผม สมุดเวชระเบียนกว่าสามหมื่นเล่มขับกลิ่นเฉพาะตัว กลิ่นวิญญาณของสมุดใกล้เสื่อมอายุ กลิ่นบรรพบุรุษสมุดรุ่นแรกๆ ซึ่งถูกเผาทำลาย ทว่ายังคงทอดอาลัยลอยเอื่อยอิ่น เฝ้ามองลูกหลานเวชระเบียนอย่างรักใคร่แกมเป็นห่วง กลิ่นความอ้างว้างของบางข้อมูลที่ตกหล่นจากภาระคัดลอกลงสมุดเล่มใหม่ ผมกระสากลิ่นหลากหลายซึ่งทับถม ยั่วล้อ ต้อนไล่กันและกัน กระดาษสามารถเผาทำลาย หากร่องรอยคนไข้ยังตรลบคละคลุ้ง คนไข้ผู้ดับตาย ชีวประวัติถูกลบฆ่าพร้อมสมุดเวชระเบียน คนไข้รายเก่าประวัติถูกถ่ายโอนไปยังสมุดเล่มใหม่สด ทารกแรกกำเนิด คนป่วยไข้หน้าใหม่ ความเจ็บไข้และการรักษาถูกจดจาร เย็บเข้าเล่ม เก็บวางอยู่ด้านนอก แหล่งพำนักสมุดเวชระเบียนเล่มเก่าแก่ ไม่วางอยู่ลึกสุดก็ล่างฐาน ดำรงอยู่อย่างสงบเสงี่ยม และแข็งแกร่งปานแก่นไม้ดึกดำบรรพ์ซึ่งพร้อมจะถูกลืมเลือน

หลายปีก่อน โรงพยาบาลนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน หวังในระยะยาว ระบบอิเล็กทรอนิกส์จะแทนที่การจดบันทึกด้วยมืออย่างเบ็ดเสร็จ ทว่าจนแล้วจนรอด วันนั้นก็ยังมาไม่ถึง เวชระเบียนในฟอร์มดิจิตอลสามารถเรียกใช้งานได้อย่างทันใจ และจัดเก็บเป็นระบบมากกว่าแฟ้มกระดาษเห็นได้ชัด ยังไม่นับการประมวลผลกับแปรค่าแล็บ เบาแรงแพทย์คำนวณอาการของโรคแม่นยำอักโข

กระนั้นแล้ว สมุดเวชระเบียนก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น มันอาจเทอะทะหนักมือ กระทั่งกระดาษปนเปื้อนเมือกมูล มิกล้าหยิบจับเต็มกำมือ ร้อยสมุดเวชระเบียนเล่มเก่าเรียงแถวเข้าเตาเผา อุบัติพันเล่มคลอดจากครรภ์แห่งความเจ็บป่วย คราไฟฟ้าตายดับ มวลอิเล็กทรอนิกส์ง่อยเปลี้ย ขณะคนป่วยไข้นอนหายใจรวยริน เพียรยื้อลมหายใจจากหัตถ์เจ้าแห่งความตาย มีแต่เปิดสมุดทีละหน้า เรียกข้อมูลดิบหยาบช่วยวินิจฉัยรักษา

เวชระเบียนเล่มกรอบเหลือง ฝุ่นฝ้าเกรอะกรัง ยังใช้พัดวีในห้องตรวจอบอ้าว เพราะเครื่องปรับอากาศสิ้นปราณชีวิต

 

ห้องเก็บสมุดเวชระเบียนใหญ่โต โอ่โถง ทรงภูมิ ผิดกับแผนกเภสัชกรรมของผมซึ่งค่อนข้างโฉบเฉี่ยว ด้วยประดับประดาเมล็ดยาสารพัดสีสัน ขวดยาหลากรูปทรง เด็กน้อยทารกออกจากห้องตรวจ หยุดไห้งอแงราวปลิดทิ้ง ดวงตาซื่อใสจ้องเมล็ดยาจนสะเทิ้น ดั่งพลัดสู่ภพภูมิใหม่ ผมแหงนคอตั้งบ่าเพื่อพบว่าความสูงของกองสมุดเวชระเบียนป่ายปีนแทบแตะตีนฟ้า

ผมหาเคยย่างกรายเข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มาก่อนไม่ ตลอดมาได้แต่ย่างผ่านหน้าประตู ผมทำงานเจียนยี่สิบปี จำได้ว่าแรกทำงาน สมุดเวชระเบียนมีกึ่งหนึ่งของจำนวนปัจจุบัน คงเพราะอัตราประชากรเพิ่มแบบเรขาคณิต ดังนั้น สมุดจึงแตกตัวทวีคูณ ล้อไล่ปริมาณผู้คน

แรกเริ่มทำงาน ผมผจญปัญหาอ่านลายมือแพทย์จากสมุดเวชระเบียนไม่ออก เพียงเดือนแรก ผมจ่ายยาผิดถึงห้าหน บุญอำนวยคนไข้มิได้รับอันตรายจนถึงแก่พิกลพิการหรือสิ้นชีวิต ลายมือแพทย์แทบทุกคนหวัดและห้วน ผมใช้เวลาพักใหญ่ศึกษาเรียนรู้ กระนั้นแล้ว กว่าจะซึ้งซาบเข้าใจ ก็พึ่งพายาพาราเซตามอลอยู่หลายกระปุก หาไม่แล้ว ขมับของผมคงระเบิดกระจัดกระจาย

เหตุการณ์กระเตื้องขึ้นตอนที่มีคอมพิวเตอร์ใช้งาน แพทย์นอกจากเขียนลายมือลงสมุดเวชระเบียน ยังต้องพิมพ์ข้อมูลป้อนลงคอมพิวเตอร์อีกทางหนึ่ง

ถึงตอนนี้ต่อให้ลายมือแพทย์ไม่เป็นภาษา ผมก็สามารถเทียบรายการจากหน้าจอได้เลย

 

ภายหลังรับหนังสือแจ้งความประสงค์ขอเข้าห้องเก็บสมุดเวชระเบียน ซ้ำอ่านทบทวนสี่ห้ารอบ เจ้าหน้าที่ประจำแผนกแสดงสีหน้างุนงง ห้องเวชระเบียนเปรียบขุมปัญญาของโรงพยาบาล ไม่อนุญาตบุคคลภายนอกเข้าเดินเหินตากอากาศ ต่อให้เป็นแพทย์เจ้าของไข้ ใช่จะมีอภิสิทธิ์เหนือใครอื่นไม่ ยามคนไข้ยื่นบัตรประจำตัวขอรับการตรวจ เจ้าหน้าที่ประจำแผนกจะเป็นมือเท้า รับส่งสมุดเวชระเบียนไปตามห้องตรวจต่างๆ คนไข้เพียงพยุงร่างกายเซซังตามต้อยเป็นอันใช้ได้ กฎหมายฉบับปัจจุบันมอบสิทธิ์คนไข้สามารถรับทราบข้อมูลเจ็บป่วยและประวัติรักษา หากเกิดกรณีดังกล่าว โรงพยาบาลจะมอบเวชระเบียนฉบับคัดสำเนาให้ไป ผมตระหนักแก่ใจถึงความเข้มงวด เพราะหากปล่อยปละละเลย ให้หลายมือหยิบจับสมุดเวชระเบียน บางข้อมูลละเอียดอ่อนมีโอกาสแตกแถว ตกเรี่ยราดรายทาง เกิดผลเสียหายต่อทั้งตัวคนไข้กับญาติ แพทย์เจ้าของไข้ และโรงพยาบาล

ถึงงุนงงสงสัย อับจนต้นเค้าความนัย เจ้าหน้าที่ก็หาเอ่ยซักไซ้ผมให้มากความไม่ ลายเซ็นผู้อำนวยการดั่งกระบี่อาญาสิทธิ์ ชักเข้าออกสำเร็จโทษทั้งแผ่นดินดังใจนึก เจ้าหน้าที่ผายมือเชื้อเชิญ ผมลากร่างเย็นเฉียบผ่านโต๊ะเจ้าหน้าที่ เพียงไม่กี่อึดใจ ผมจะเข้าถึงคลังเอกสารของโรงพยาบาล แต่ก่อนจะล่วงถึงห้องหับอันตั้งภายในสุด หัวหน้าแผนกเวชระเบียนพลันปรี่เข้าขวาง สีหน้าถมึงทึง ผมเมื่อถูกหยุดไว้อารามยื่นหนังสือมอบแก่หัวหน้าแผนก แกรับไปอ่านอย่างเสียมิได้ สายตาไล่สำรวจทุกบรรทัด เปล่งดวงหน้าสงสัย ก่อนพับหนังสือเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ พยักหน้าอนุญาต ผมเอ่ยขอบคุณอย่างคนเพิ่งยกภูเขาออกจากอก

อันที่จริง ผมไม่ต้องลงแรงขนาดนี้ก็ได้ หนังสืออนุมัติของผู้อำนวยการอาจเกินจำเป็น ทำให้เรื่องเกินหน้าใหญ่โต เพราะหัวหน้าแผนกเวชระเบียนถือวิสาสะเทียวเข้า-ออกห้องยาบ่อยถม ทั้งเข้ามาสอบถามเรื่องหยูกยา ทั้งขอยืมยาสักสองสามขนานในวันที่ลืมพกติดตัวมาทำงาน บางครั้งผลักประตูผลัวะ เพียงแค่ระบายอาการขัดเคืองถึงผลฟุตบอลที่ยากเป็นใจ ผมคิดเออออว่าหากขอร้องหัวหน้าแผนกโดยตรง ไม่ผ่านคำสั่งผู้อำนวยการ การณ์ก็คงสมประสงค์ แม้สีหน้าหัวหน้าแผนกบัดนี้เผยให้เห็นว่าคงไม่ง่ายดาย ทว่าใช่จะไร้โอกาสโดยสิ้นเชิงไม่ ด้วยคนเราย่อมถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนั่นเอง แต่สุดท้าย ผมตกลงใจกระทำตามขั้นตอน ยื่นหนังสือต่อผู้อำนวยการเป็นกิจทางการ สะดวกใจกันทุกฝ่าย การพิทักษ์ความลับคนไข้เป็นสิ่งสำคัญ เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องกวดขันตนเข้มงวด ไม่สมควรมีใครเบ่งพองจนล้มระเบียบกฎเกณฑ์

เรื่องหัวหน้าแผนกเวชระเบียนยืมยาก็เช่นกัน แม้ไม่เหลือบ่าเกินแรงให้หยิบยืม ทว่าหากวันหนึ่งการณ์ปรากฏแกนิ่งขืนไม่นำคืน คราต่อไปผมคงปฏิเสธแกเป็นแม่นมั่น

 

ผมมิใช่บุคคลนอกแผนกรายแรกที่เข้าถึงห้องเก็บรักษาสมุดเวชระเบียน กระนั้นก็ยังเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยนิด ซึ่งสิบยี่สิบปีจะปรากฏกายสักหน มีเรื่องเล่าขานว่าบุคคลนอกแผนกคนก่อนหน้า เนิ่นนานจนวันเวลาเลอะเลือน หายสาบสูญระหว่างกองสมุดเวชระเบียน บุคคลดังกล่าวเดินผ่านประตูเข้าไปและไม่หวนออกมาอีก ผมพอเริ่มทำงาน สดับยินเรื่องราวจากเพื่อนร่วมงาน เพียงแต่ในชั้นหลังๆ เรื่องเล่าถูกขับขานอย่างขมวดห้วนและลดทอนรายละเอียด นานครั้งหรอกค่อยมีใครสักคนรำพึงถึงใครอีกคนซึ่งหายตัวไร้ร่องรอย เรื่องจึงกลับมาเป็นที่สนใจใคร่รู้ ก่อนจืดจางตามวาระของมัน รอใครอีกคนรื้อฟื้นในยามข้างหน้า ผมเคยพยายามสืบสาวที่มา ตรวจหารายชื่อคนสูญหาย ซักถามเจ้าหน้าที่เก่าแก่ คนไข้สูงอายุ เลียบเคียงจากนายตำรวจที่สนิทสนม แม้แต่ลุยค้นเอกสารห้องสมุดประจำอำเภอ ทุกสุ้มเสียงบอกเล่าและหลักฐานที่ค้นเจอ ยืนยันตรงกันว่ามีคนสูญหายจริง ทว่าไร้ชื่อเสียงเรียงนามให้เรียกขาน มิอาจระบุกระทั่งเพศสถานะ การหายตัวเริ่มต้นและจบลงง่ายดาย ลบเลือน ไม่ถูกจดจำ ราวเขาหรือเธอถูกพลังงานชนิดหนึ่งดูดกลืนสู่สมุดเวชระเบียนประจำตัว เล่มที่ไม่มีบนโลกอีกแล้ว เขาหรือเธอรวมตัวเป็นเนื้อเดียวกับสมุด ขดกายแทรกอยู่กับตัวเลขระบุน้ำหนัก ส่วนสูง พิกัดความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ รายนามโรครุมเร้าเรื้อรัง เพื่อถูกเผาทำลายเป็นจุณธุลี ฟุ้งปลิวกระจัดกระจาย

ผมอุ่นเครื่องโดยหลับตาหยิบสมุดเวชระเบียนออกมาหนึ่งเล่ม มือปัดฝุ่นและกวาดหยากไย่ออก ชื่อ-นามสกุลของคนไข้ไม่คุ้นเคย ทว่าลายมือแพทย์คุ้นตา กินพื้นที่เกือบหนึ่งในสามของหน้ากระดาษ ใบสั่งยาแผ่นสุดท้ายลงวันที่เมื่อสามปีก่อน ลายเซ็นผู้จ่ายยาระบุตัวผมเอง ลองทบทวนทว่าคว้าจับเพียงความทรงจำโปร่งใส อันที่จริงนับเป็นเรื่องธรรมดา เพราะแต่ละวันผมจ่ายแจกยาแก่คนไข้นับร้อยพัน มากคนเล็ดลอดจากกล่องทรงจำ เพียงประทับร่องรอยซีดจางในเวชระเบียน ผมปิดสมุด ขณะสอดเล่มคืนตำแหน่งเดิม

ถึงตอนนี้ ได้เวลาที่ผมจะหยิบสมุดเวชระเบียนของตัว ผมเคยนึกเล่นๆ หากตัวเองตกเป็นผู้พลัดหายบ้าง ในไม่ช้าผมจะกลายเป็นบุคคลนิรนาม ไร้ชื่อแซ่ ไร้ใบหน้า อาจบางที ภาวะถูกลืมเลือนเป็นรูปแบบการจดจำประการหนึ่ง ดั่งอีกด้านของเหรียญเดียวกัน วิญญาณโปร่งแสงของผู้สาบสูญแขวนลอยในมหรรณพความทรงจำ ปัจเจกลบตัว ถูกจดจำในรูปสถานการณ์ ตรึงตราในห้วงลืมเลือนของผู้คนชั่วกัลปาวสาน

หลายหนผมเทียวถามตนเอง คำตอบช่างเลื่อนไหล ผมมิเคยตอบคำถามเก่าเดิมซ้ำซาก บางคำตอบดังก้องว่าเขาผู้หายสาบสูญเข้าห้องเก็บสมุดเวชระเบียนเพราะปรารถนาผจญภัยในป่าดิบลึกลับ กระตุ้นชีวิตตายซากลืมตาตื่นพล่าน บางคำตอบปฏิเสธกร้าวแข็ง ต่อปรัศนีข้อเดียวกัน คำตอบสามารถแตกแขนงได้ทุกทิศทาง กระทั่งคัดง้างถึงพริกถึงขิงคำตอบเดิมแรก โลกไพศาลเกินกว่าหนึ่งคำตอบแช่แข็ง หากเผอิญพบผู้สูญหายในห้องเก็บสมุดเวชระเบียน ผมยังเผื่อคำตอบมากกว่าหนึ่ง การพบเจอหากบังเกิดขึ้นถือเป็นผลพลอยได้ ผมอาจสนทนาวิสาสะ หรือเมินเฉยมึนตึง แม้ไม่พบปะผีสางตนใด ก็หาใช่ปัญหาใหญ่หลวงทำทุกข์ตรมไม่

ต่อให้อยากถ่วงเวลายืดยาว ถึงที่สุดมือก็เอื้อมไปหยิบสมุดเวชระเบียนของตัว

ขณะเปิดสมุดหน้าแรก ความหวาดกลัวของผมทะยานพุ่งถึงขีดสุด แน่ล่ะ ใจหนึ่งผมยังหวงแหนชีวิต ผมวาบนึกถึงปกรณัมกรีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเธซิอุสล่วงสู่เขาวงกต เขาได้อาศัยเชือกที่แอริอัดเน่ถักให้พากลับออกมา

แต่ก่อนจะทันเรียกเชือกมาผูกตนเอง สำนึกอีกที ผมก็พบว่าร่างกายค่อยๆ เลือนหาย ทิ้งสมุดเวชระเบียนให้หล่นบนพื้น

 

ชีวิตผมหาไม่แล้ว แต่สมุดเวชระเบียนจะยังอยู่นานกว่า จวบครบวาระทำลาย ซึ่งในอีกห้าปีนับจากนี้ จะปราศจากหลักฐานบ่งชี้ว่าผมเคยอาศัยอยู่บนโลก

หรือหากจะมี มันก็จะอยู่ในรูปของเรื่องเล่าที่เอ่ยถึงบุคคลนิรนามอีกรายผู้หายสาบสูญไปในวงกตของห้องเก็บสมุดเวชระเบียน!