เรื่องสั้น : ‘วาระของลุงเอียด’ / การียา ยูโซ๊ะ

เรื่องสั้น

การียา ยูโซ๊ะ

 

‘วาระของลุงเอียด’

 

เหงื่อที่แตกเม็ดซึมเริ่มแห้งอุดรูขุมขน องศาในร่างกายก็ลดฮวบราวกับกำลังอยู่ในห้วงความหนาวเย็นของค่ำคืนกลางฤดูหนาว

เราอาจมีช่วงเวลาของการตัดสินใจที่ผิดพลาดสักครั้งในชีวิต ไม่แน่ใจว่านี่เป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างหนึ่งของผมด้วยหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง หลังดวงอาทิตย์ลอยตัวขึ้นฉายแสงสีทองสว่างเหนือยอดเขาได้ไม่นาน ผมเดินสะพายย่ามเก่าเขรอะเปื้อนเศษขี้ยางออกจากบ้าน แวะบ้านลุงเอียดด้วยความจำว่าจะเข้าไปหาน้ำผึ้งและของป่าด้วยกัน

ภาพคุ้นตาปรากฏ น้ำตาเธอไหลพราก ลูกสาวคนเดียวของลุงเอียดสติไม่สมประกอบนั่งร้องไห้อยู่ใต้ถุนบ้านไม้ยกพื้นสูงเมื่อผมเดินไปถึง ไม่มีครั้งไหนที่มาบ้านแกแล้วนัยน์ตาลูกสาวลุงจะแห้งเหือดเหมือนคนปกติ คราวนี้คงร้องไห้เพราะความเจ็บปวดบางอย่างที่คนปกติไม่เคยเข้าใจ

และอาจจะกำลังพยายามเยียวยาบาดแผลที่ไม่มีใครมองไม่เห็นอยู่ก็ได้

 

นั่นคือภาพจำล่าสุดของผมจากโลกภายนอก ก่อนที่ผมกับลุงเอียดจะพากันเดินเข้าป่ามาตามทางรกทอดยาวขึ้นไปถึงยอดเขา ลุงเดินนำหน้าผมราวสามสี่ช่วงตัว หยุดพักบ้างเมื่อรู้สึกว่าแข้งขาเริ่มอ่อนแรงเกินจะก้าว

ภาพลุงนั่งบนท่อนซุงตอนหยุดพักเอาแรงเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าเรียบเฉยและเงียบนิ่ง กว่าร่างกายจะปรับตัวสู่สภาวะปกติก็กินเวลาอยู่สักพักใหญ่ๆ

เราสองคนพากันเดินต่อเมื่อรู้สึกหายเหนื่อย แต่ผ่อนจังหวะฝีเท้าลงตามทางที่ลาดชัน ลุงเอียดบอกระหว่างก้าวเท้าเดินเป็นเสียงหอบๆ ว่าจะไปเอาน้ำผึ้งให้ได้สักสิบขวด มากกว่านั้นถือเป็นกำไร ไม่อยากโลภมากเดี๋ยวลาภจะหาย แกว่าอย่างนั้น ส่วนแบ่งของผมลุงเอียดจะเป็นคนจัดให้ด้วยความสมเหตุสมผล เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง แกไม่เอาเปรียบใครแน่

“ข่าวว่ามีคนรับซื้อราคาดี” แกเว้นจังหวะก่อนพูดต่อ “เข้าป่าวันเดียวดีกว่ากรีดยางตั้งอาทิตย์นึง ไม่ทำก็บ้า”

เราเดินมาไกลพอสมควร และเหมือนความรู้สึกจะเตือนให้รู้ว่ากำลังออกนอกเส้นทางที่เคยใช้ ลุงเองก็คงรู้สึกอย่างนั้น แม้จะไม่พูดแต่สีหน้าแกบอก แกชำนาญทางมากกว่าคนหนุ่มอย่างผม ผมคงไม่ต้องคิดกังวลกับเรื่องอะไรพวกนี้

เพียงแต่ความกลัวปรากฏอยู่ในห้วงความรู้สึกภายในเท่านั้นเอง

 

แดดคลายองศาความร้อนลง ท่ามกลางความเงียบยังมีเสียงกิ่งไม้หักเมื่อสองเท้าย่ำลงบนเศษซากกิ่งไม้ใบไม้แห้ง

เหนือยอดของต้นไม้บนเนินเขาเอียงขึ้นไป ฝูงผึ้งยั้วเยี้ยเกาะกลุ่มเป็นรวงรังบนกิ่งก้านไม้ที่กางขยายออกรับลมแดด ลุงเอียดชี้ไม้ชี้มือขึ้นไปที่รังแล้วปาดเหงื่อที่ไหลอาบหน้าเสียรอบหนึ่ง

“หาหญ้าแห้งๆ กับเศษไม้ให้ข้าหน่อย” ลุงเอียดพูด

“รอแป๊บลุง พักให้หายเหนื่อยก่อน เพิ่งมาถึงแท้ๆ นี่ลุงกะจะไม่พักเลยเหรอ” ผมพร่ำบ่นอย่างคนขี้เกียจ แต่เอาเถอะ ไปหามาก่อนแล้วค่อยนั่งพักเอาตอนที่ลุงแกปีนขึ้นไปตีรังผึ้ง มันเป็นหน้าที่ของลุงแกอยู่แล้ว อายุอานามขนาดลุงเอียดที่ผ่านชีวิตมาครึ่งค่อนชีวิตย่อมทำได้ดีกว่าผมแน่ๆ

เสื้อผ้าเปียกปอนไปด้วยเหงื่อรสเค็มส่งกลิ่นเหม็น สองเท้าของลุงที่แบกรับน้ำหนักร่างผอมกะหร่องของตัวเองเป็นเวลานานทำให้เมื่อยล้า ถึงลุงเอียดจะดูกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วในทุกอิริยาบถการเตรียมตัวปีนต้นไม้สูงตระหง่าน แต่ลุงเอียดก็ดูเชื่องช้ากว่าปกติ เห็นได้ชัดว่าการเดินทางฝ่าดงป่าดงเขาผลาญแรงแกไปไม่น้อย

“เอาธูปมา” ลุงเอียดพูดเหมือนออกคำสั่ง

“นี่ลุงจะตีรังผึ้งด้วยธูปดอกเดียวนี่นะ” ผมพูดเย้าแต่สีหน้าลุงบ่งบอกว่าแกไม่มีอารมณ์เล่นด้วย

“อย่าทะลึ่งปากเสียเชียวนะไอนี่ เข้ามาหาของป่าทีไรข้าก็ขอเจ้าป่าเจ้าเขาทุกทีละวะ” ลุงเอียดพูดแกมสั่งสอนลูกหลานเรื่องมารยาทและการให้เกียรติ การให้เกียรติสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทำนองนั้น

ผมเดินหลบมุมอยู่ห่างจากต้นไม้ที่ลุงเอียดจะปีนขึ้นไปตีรังผึ้ง อย่างน้อยก็ในระยะที่คาดว่าจะปลอดภัยจากพิษเหล็กในของเจ้าผึ้งตัวน้อยพวกนั้นทุกตัว

“นี่ลุง” ผมตะโกนเรียกตอนลุงกำลังจะปีนขึ้น เหมือนว่าคิดอะไรบางอย่างออกกะทันหันในเวลานั้น

“ไม่ไหวบอกล่ะ หรือจะให้ฉันปีนขึ้นไปตีรังแทนก็ได้ ถึงฉันจะไม่เก่งเหมือนลุงแต่ก็เคยผ่านมันมาแล้ว อย่าแม้แต่จะคิดดูถูกความสามารถที่ไม่เคยมีใครรู้ของฉันเชียวนะ” ผมพูดด้วยอารมณ์อย่างคนลำพองตนในความสามารถ และแอบภูมิใจในประโยคเหล่านั้นอยู่ลึกๆ

“เออ” ลุงตะโกนตอบส่งๆ เป็นอันรับรู้แต่ไม่ได้สนใจ

ผมสาดสายตามองไปรอบตัว ไม่พบความคุ้นเคยอะไรสักอย่างในทรงจำจากชีวิตของการเดินป่า ผมไม่เคยผ่านมาทางนี้เลยสักครั้ง กลิ่นธูปที่ลุงจุดส่งกลิ่นลอยอวลอยู่ในอากาศรอบตัวยิ่งทำให้บรรยากาศเงียบสงัดชวนขนลุกขึ้นไปอีก

ผมมองลุงปีนป่ายขึ้นต้นไม้ ค่อยๆ ขยับเพิ่มความสูงขึ้นทีละนิด พลางคลี่ใบจากยัดยาเส้นมวนโตๆ ขึ้นจุดสูบ เผลอแป๊บเดียวลุงเอียดก็พาตัวเองขึ้นไปสู่ยอดสูงของต้นไม้ที่แตกต่อกิ่งก้านไปคนละทิศละทาง แต่เหมือนแกดันไปทำอะไรผิดพลาดสักอย่างเข้าให้ก่อนจะได้ตีรังผึ้งตรงหน้า มือที่ไปค้ำเอากิ่งไม้ใหญ่แห้งผุเกินจะรับน้ำหนักตัวลุงเอียดไหวหักเสียงดังเปาะ ภาพร่างของลุงเอียดร่วงจากจุดสูงของต้นไม้ลงสู่พื้นดินตามแรงโน้มถ่วงอย่างหน่วงหนักชั่วพริบตา

เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดจากแรงกระแทกดังก้องทั่วบริเวณ ใบจากยังไม่ทันหมดมวนก็ใจหายวูบ ผมวิ่งไปดูลุงเอียด หน้าแกเปลี่ยนเป็นสีซีด แขนบิดเบี้ยวผิดรูปทรง ขาที่บิดงอก็คงเป็นแบบเดียวกันอาจจะแค่บิดหรือถ้าโชคร้ายก็อาจจะหัก เสียงร้องเหมือนจะตายเสียให้ได้เดี๋ยวนั้นคือสิ่งยืนยันความทรมานของลุงได้เป็นอย่างดี

“ตายแน่กู ห่าเอ๊ย” ลุงเอียดสบถเสียงหลงเลิ่กลั่กหลังเห็นสภาพแขนขาบิดเบี้ยวของตัวเอง

“เฮ่ ลุง” เป็นคำเรียกสติที่ไม่ค่อยเพราะเลยว่าไหม แต่ในเวลาแบบนั้นน่ะ แค่ไม่ให้ลุงแกเสียสติกับภาพแขนขาบิดเบี้ยวราวกับสามารถหักงอได้ตามใจชอบก็ถือว่าเก่งมากแล้ว

ลุงเจ็บแต่ผมกลัว กลัวเพราะรู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย ผมจำอะไรไม่ได้ พยายามยังไงก็จำไม่ได้ ผมจำทางกลับไม่ได้เลย นี่เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนักเพราะลุงอาจเป็นเหมือนกัน ในใจเริ่มสับสน เราเดินมาไกลเกินไป ออกนอกเส้นทางมาไกลเกินจำเป็น ความจริงมันไม่มีความจำเป็นเลยด้วยซ้ำ ผมเริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนกับความคิดตัวเอง พยายามขจัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัวที่มีแต่ความกลัวอยู่เต็มไปหมด

สายตาอิดโรยของเพื่อนร่วมชะตากรรมทำผมใจสั่นไม่เป็นจังหวะ ลุงไม่ได้ร้องอย่างบ้าคลั่งแล้ว แต่นัยน์ตาบ่งบอกว่าอาการของลุงหนักหนาเอาการ สภาพลุงดูไม่จืดเลยจริงๆ

 

เรายังติดอยู่ที่นี่ ติดอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ลุงเอียดดิ่งลงมาจากความสูงของต้นไม้ด้วยท่าทางอิสระไร้การบังคับ

ยามบ่ายที่แดดยังร้อนแรง เพียงแต่ไม่สามารถส่องผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ที่สยายใบต่อกันเป็นร่มขนาดใหญ่บดบังกันความร้อนไว้เบื้องบน กลางป่าลึกทึบแบบนี้ อย่าว่าแต่แสงแดดจะล่วงล้ำผ่านช่องระหว่างรอยต่อของใบไม้ลงมาเลย หากแต่ฝนที่เทลงมาห่าใหญ่ก็ไม่รู้จะมีหยดลงมาถึงพื้นเบื้องล่างภายใต้ร่มเงามืดครึ้มนี้สักกี่หยด

“กลับกันเถอะลุง ฝืนๆ เดินหน่อย” ผมพูดทั้งยังกังวลกับคำตอบ

ลุงตอบมาอย่างที่ผมคาดว่าจะตอบ “วะ ไอนี่ สภาพข้าขนาดนี้จะให้ไปยังไง ต้องแบกหรือทิ้งข้าไว้ตรงนี้แล้วเอ็งก็ไปตายเอาดาบหน้า หลงป่าต่อคนเดียวแหละหนาถึงจะไปได้ ข้าจำทางกลับไม่ได้ หลงทิศไปหมด” น้ำเสียงลุงแสดงความหงุดหงิด

จวนจะย่ำค่ำอยู่เต็มที ป่าทึบคลุมเงาสลัวรางวังเวง เรากำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของค่ำคืนในป่าแห่งนี้ เศษไม้เศษหญ้าที่หามาตีรังผึ้งกลับต้องใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ความสว่างไล่ความมืดแทน

ไฟสว่างลุกเป็นสีแดงเพลิงตัดกับสีดำยามค่ำคืนหลังอาทิตย์ลับขอบฟ้า ผ่านคืนนี้ก็นับหนึ่งวันกับชีวิตในป่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าป่าเจ้าเขาของลุงไม่ช่วยอะไรเลยหรือนี่ ผมเริ่มเรียกร้องต่อทุกอย่างยกเว้นกับลุงที่นอนซมจมความเจ็บปวดอยู่ตรงข้ามกองไฟสว่างวูบไหว บางทีเราก็มีข้อเรียกร้องมากเกินไปเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากหรือแม้แต่สถานการณ์ปกติ ข้อเรียกร้องเรามากเกินจำเป็นจนไม่รู้ว่าต้องการอะไรกันแน่ ผมต้องการออกไปจากที่นี่ มันเป็นข้อเรียกร้องเดียวของผมตอนนี้ และผมไม่คิดว่ามันมากเกินไป

สายลมยามดึกพัดต้นไม้เสียดเป็นเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดกึกกัก แสงสว่างจากกองไฟเผยให้เห็นใบหน้าซีดเผือดราวผีตายซากของลุง การตายเพราะตกต้นไม้ดูจะอ่อนแอเกินไปสำหรับคนอย่างลุงเอียด ถ้าเป็นผมก็ไม่แน่ คงตายไปตั้งแต่ร่างยังไม่ทันถึงพื้น ตายเพราะตกใจ ใจเสาะ อ่อนแอนั่นแหละ

เมื่อไฟหรี่แสงจะดับจึงเติมฟืนเข้าไปให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ถ้าไม่ติดว่ากลัวสิงสาราสัตว์รอบตัวที่มองเห็นเราเป็นเหยื่อหรือเป็นภัยต่อตัวมันก็คงปล่อยให้มอดดับลงเป็นเถ้าถ่านแล้วหลับตานอนสักตื่นอย่างที่ลุงเอียดทำอยู่เสียก็สิ้นเรื่อง

 

เช้าอีกวัน เริ่มต้นวันได้ไม่ดีนัก เมื่อวานกับวันนี้แย่พอกัน จะทำยังไงถึงพอจะกลบเกลื่อนความกลัวของตัวเองได้บ้าง นานเข้ามันยิ่งฝังรากลึกตามติดเป็นเงาตามตัวพากระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา

“ลุงนี่ถึกดีแท้ นึกว่าจะตายเป็นผีง่อยแขนขาขาดอยู่ในป่านี่ซะแล้ว”

“เอ็งไม่ต้องมาแช่งชักข้าเสียให้ยาก ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก ที่นี่มีผีอยู่เยอะแล้ว ข้าเกรงใจจะไปแย่งที่อยู่ผีรุ่นพี่ที่ตายก่อน ทหารคอมมิวนิสต์บรรพบุรุษข้าก็ตายอยู่ในป่าเหมือนกัน เพราะดันซุ่มซ่ามไปเหยียบกับระเบิดของศัตรู ของบรรพบุรุษเอ็งไง บ้างก็เหยียบของพวกเดียวกันก็มี ที่เหลือรอดก็ลงเขาออกจากป่าใช้ชีวิตอยู่กับเอ็งนั่นแหละ ข้าก็ลูกหลานเขานะ หึ” ลุงหลุดเสียงหัวเราะในลำคอเหมือนลืมตัวว่าเจ็บอยู่

ผมอยากถามลุงว่าจะเอายังไงต่อ จะหาทางออกจากป่ากลับกันยังไง ชีวิตที่ต้องอยู่ในป่านานกว่านี้ก็เหมือนรอเวลาตายอย่างช้าๆ เสี่ยงตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ลุงก็คงคิดถึงลูกสาวคนเดียวของแกเหมือนกัน แต่สภาพของลุงตอนนี้ไม่อยู่ในฐานะที่ผมจะขอความเห็นหรือทำอะไรได้นอกจากปล่อยให้ผลาญลมหายใจทิ้งไปทีละเฮือก

ความจำเป็นเราไม่เท่ากัน ผมกับลุงถึงต้องเข้าป่ามาเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ได้มาขายไปแลกกับเงินเลี้ยงปากท้อง จะว่าได้ไม่คุ้มเสียก็ไม่ถูก ก็ไอ้น้ำผึ้งและของป่ามันให้ราคาดีล่อตาล่อใจเป็นนักหนา ได้มาขายได้ก็คุ้มค่า ถ้าดันโชคร้ายเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่คุ้ม

 

จะมีใครคิดถึงเราไหม สักคนที่รู้ว่าเรายังไม่ตายหรือไม่ตั้งใจกลายเป็นคนสาบสูญรอเวลากลับไปเองเหมือนทุกครั้ง จะมีใครรู้ไหมว่าเราหมดหนทาง แม้จะเริ่มจะทำอะไรมากกว่าการอยู่กับที่ แต่มันเป็นเพียงทางเลือกที่ไม่รู้คำตอบด้วยซ้ำว่าจะลงเอยยังไง ทางเลือกที่ไม่อยากนั่งนอนรอความหวังอันริบหรี่ ถึงได้เลือกเดินไปอย่างไร้เป้าหมายและมืดบอดในสภาวะที่รอบตัวคลุมไปด้วยแสงสว่าง ทุลักทุเลไปตามสภาพแขนขาของลุงเอียด เรากำลังเดินไปข้างหน้าอย่างที่ควรจะเป็น ฝากชีวิตไว้กับโชคชะตาอย่างจำนน

เวลาล่วงเลย ไม่ช้าไม่นานเดี๋ยวก็ค่ำ เราจะสะสมเพิ่มจำนวนนับอีกหนึ่งคืนในป่านี่

“เรามาถูกทางกันมั้ย” ผมถาม

“ไม่รู้ ภาวนาให้ถูกก็แล้วกัน” ลุงตอบเสียงสั่นเบาคล้ายกระซิบทันทีอย่างไม่ค่อยมั่นใจ

น้ำตาผมไหลอาบแก้ม พลางนึกถึงลูกสาวของลุงเอียดเหมือนเข้าใจต่อความทุกข์และความกลัว อายุขนาดผมยังไม่สมควรตาย ไม่ยุติธรรมเลยหากคนเกิดก่อนไม่ตายก่อน นี่เป็นข้อเรียกร้องให้เอาชีวิตของลุงเอียดไปเพื่อให้ผมรอดหรือเปล่านะ ไม่ใช่ ไม่มีใครควรตายเพื่อให้อีกคนอยู่รอด แต่หากเรียงตามลำดับการเกิดก่อนเกิดหลัง ลุงเอียดต้องเป็นคนตายก่อนผม แต่ความตายไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง สมควรแก่เวลาทุกอย่างก็เป็นไปตามที่จะเกิด

ความมืดคลุมเราอีกครั้งเป็นคำรบสองในช่วงเวลาสองคืน แต่คราวนี้เรากลืนอยู่ในความมืดดำสงัดเงียบ ไม่มีแม้ไฟไล่ความมืดหรืออุ่นร่างกายบอบบาง แมลงตัวเล็กบินวนรอบตัวจนรู้สึกรำคาญ เรานอนอยู่นิ่งๆ รับมือกับความหิวและความเหนื่อยล้าอย่างเงียบสงบ ปล่อยให้ลมหายใจกลมกลืนไปกับสายลมพัดเอื่อยเฉื่อย นานเข้าจึงเคลิ้มหลับเพราะความเหนื่อยสะสม เสียงลมหายใจของลุงครางดังครืดคราดปลุกผมให้ลืมตาตื่นอยู่เป็นระยะ

ลุงจะมีชีวิตรอดอยู่ถึงพรุ่งนี้ไหมนะ ผมต้องพยุงร่างลุงเดินกะเผลกไปจนกว่าจะออกจากป่ากลับไปถึงบ้าน หรือต้องแบกร่างไร้วิญญาณของลุงแทนเมื่อถึงวันพรุ่งนี้ หรือสุดท้ายเราทั้งคู่จะกลายเป็นศพสลายเหลือแต่โครงกระดูกทับถมซุกอยู่ใต้กองดินในป่าเหมือนบรรพบุรุษของลุงเอียดกัน

แขนขาผมสั่นไร้เรี่ยวแรง ร่างกายหนาวๆ ร้อนๆ ปวดข้างในหัวเหมือนถูกเหล็กแหลมลนไฟทิ่มทะลุเข้าไปในกะโหลก ลุงยังนอนหลับ สภาพโทรมกว่าเมื่อวานมาก แขนขาที่บิดเบี้ยวยิ่งช้ำเลือดมากขึ้น คราวนี้เห็นชัดว่ากระดูกไม่ใช่แค่บิดงอ แต่หักเป็นสองท่อนจนเกือบทิ่มทะลุเนื้อหนังออกมาเต็มที

 

หมอกหนาอาบไล้ผิวหนังจนยะเยือก ลุงเอียดขดตัวเพราะความหนาวแล้วสะดุ้งตื่นเพราะส่วนประกอบของร่างกายบางส่วนชำรุดทำให้เจ็บปวดตลอดเวลา

ลุงเงยหน้ามองผมก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบาจนต้องเอียงหูฟัง “กลับไปถึงบ้านคราวนี้ข้าจะแกงหมูเลี้ยงเอ็งสักตัว ต้มเหล้าให้เอ็งเป็นการตอบแทนที่แบกที่ลากข้ามาไกลเหลือ”

ข้อเสนอของลุงน่าสนใจทีเดียว แต่ผมคงไม่เต็มใจรับมันเท่าไรนัก เดาว่าลุงคงลืมอะไรเกี่ยวกับตัวผมแล้ว หรืออาการอาจจะหนักกว่าเดิมถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น แกคงมึนงงกับสภาวะความเป็นไปจนเลื่อนลอย คงเหลือแต่ความจำบางส่วนที่ไม่มีผมอยู่ในนั้น

“ถ้าออกไปจากป่านี้ได้ ฉันขอแค่ไก่สักตัวพอ อ้อ แล้วเหล้าก็ไม่ต้องนะ ลุงเก็บไว้เถอะ ฉันไม่กินทั้งเหล้าทั้งหมูนั่นแหละ” ผมพูดแล้วปล่อยเสียงหัวเราะออกมาทั้งที่แรงและเสียงเหลืออยู่น้อยนิด

“ลืมไปว่าเอ็งไม่กินหมู” ลุงพูดเสียงแหบแห้งจนแทบจับความไม่ได้

ผมมองร่างลุงเอียด ลุงพยายามขยับปากพ่นเสียงออกมาแต่ไร้ผล ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปากลุงเอียด

ทุกอย่างเงียบสงบ ไร้การเคลื่อนไหว