เรื่องสั้น | ผีตัวนั้นไม่มีนาฬิกา

ถ้าถามว่าผมเชื่อเรื่องผีหรือเปล่า ผมก็คงตอบอย่างไม่ต้องคิดว่าผมไม่เชื่อ แต่ความจริงก็คือ ในชีวิตผมมีเรื่องพวกนี้วนเวียนเข้ามาตลอดเวลา ทั้งที่ตัวผมเองพยายามที่จะไม่เชื่อ และคิดหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาหักล้าง แต่ในหลายๆ ครั้งผมก็ต้องยอมรับว่าจนปัญญาในการหาคำอธิบายเหตุการณ์เหล่านั้นจริงๆ

หรือบางครั้งเราอาจต้องยอมรับว่า ถึงโลกนี้จะมีผีจริงๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเปล่า?

เพราะในโลกของวิทยาศาสตร์เองก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ และในทางปฏิบัติ วิทยาศาสตร์ก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับทุกสิ่งในโลกไม่ใช่หรือ?

เหตุการณ์หนึ่งที่ผมจำได้อย่างแม่นยำเกิดขึ้นช่วงที่ผมเรียนอยู่ชั้น ป.5 ผมจำได้แม่นว่าวันนั้นเป็นวันศุกร์ เป็นวันก่อนหวยออก แม่กับลุงและน้าๆ พากันไปไหว้ต้นโพธิ์ใหญ่ที่ลานวัดและพาผมไปด้วยหลังเลิกเรียนเพื่อขอหวยซึ่งเป็นกิจวัตรที่ทำกันเป็นประจำทุกครึ่งเดือน

แต่ที่แปลกออกไปคือ วันนั้น ขณะที่แม่และน้าๆ กำลังขะมักเขม้นกับการขูดผิวต้นโพธิ์ จู่ๆ ลุงผมก็ร้องตะโกนเสียงดังลั่น แล้วก็พูดละล่ำละลักอย่างคนตกใจกลัวขนาดหนักว่าทำไม? ทำไมศาลพ่อปู่เปลี่ยนสี?

แล้วทุกคนก็มองตามนิ้วมือแกที่ชี้ไปยังศาลพ่อปู่ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วก็ตกตะลึงจังงังกันไปหมด ว่าศาลพ่อปู่เก่าแก่ทรุดโทรมที่เมื่อสักครู่ทุกคนยังไปกราบไหว้ถวายพวงมาลัยก่อนมาไหว้ต้นโพธิ์นั้น จู่ๆ ในชั่วขณะที่ไม่มีใครสังเกตสนใจเพียงห้าหรือสิบนาทีเท่านั้นเอง ศาลทั้งหลังก็เปลี่ยนสีไปเหมือนถูกทาใหม่เสียเหลืองอร่าม

ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่จะมีใครเดินเข้าไปทาสีศาลในระหว่างนั้น เพราะทุกคนก็อยู่ใกล้แสนใกล้และไม่มีใครเห็นอะไรผิดสังเกต

ยิ่งพอลุงผมเดินเข้าไปใกล้และเอามือแตะๆ ศาลก็พบว่าสีเหลืองนั้นแห้งสนิทเหมือนถูกทามาแล้วอย่างน้อยก็วันสองวัน ไม่ใช่เพิ่งทาแน่ๆ

“เจ้าข้าเอ๊ย ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พ่อปู่!”

แล้วทั้งลุงทั้งแม่และน้าๆ ผมก็พากันก้มกราบหมอบราบเรียดดิน แต่ละคนต่างตีความกันไปต่างๆ นานา เป็นเลขโน้นเลขนี้ตามศรัทธาที่ตัวคิด

แต่ปรากฏว่าในกลุ่มพวกเราไม่มีใครถูกหวยเลยสักคนในงวดนั้น

และคนที่ถูกหวยกลับเป็นตายุทธ์ ผัวของน้าคนหนึ่งที่มาไหว้ต้นโพธิ์ในวันนั้น ตายุทธ์ฟังเรื่องศาลพ่อปู่จากน้าแล้วก็เอาไปตีเลขต่อเองไม่เหมือนใคร และสุดท้ายก็ถูกรางวัลเป็นเงินถึงหกหลัก เล่นเอาทั้งแม่ทั้งลุงและน้าคนอื่นๆ อ้าปากค้างไปตามๆ กันด้วยคิดไม่ถึง

แล้วก็ตายุทธ์นี่เองที่ต่อมาเพียงอีกหกเดือนครึ่งปีก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน

ซึ่งตอนแรกๆ พวกเราก็ดีอกดีใจกันที่แกได้เป็นถึงผู้ใหญ่ แต่ปรากฏว่าพอผ่านไปไม่นานตายุทธ์ก็เริ่มมีอาการประหลาด ปากเริ่มจัด ตาเริ่มขวาง ด่าใครต่อใครไม่ยั้งอย่างหยาบๆ คายๆ จนเมียแกก็แสนระอาแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้

จนในที่สุดเมื่ออาการหนักเข้าๆ ทั้งพระทั้งหมอก็ลงความเห็นตรงกันว่าแกถูกผีเข้า เลยต้องจับมัดแล้วทำพิธีกันใหญ่โตท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของพวกเราในหมู่บ้าน

ผมยังจำได้แม่นว่าถึงจะถูกมัดมือ แต่ตายุทธ์ก็ยังไม่หมดฤทธิ์ แกมองพระมองหมอตาขวางแล้วก็พูดเสียงแหบแห้งเคียดแค้นเหมือนไม่ใช่เสียงแกเองว่า

“แน่จริงมึงมาไล่กูสิ! ไล่กูสิ! กูไม่ออก! กูไม่ออก!!!”

แต่สุดท้ายพอถูกน้ำมนต์ราดไปสามขันแกก็ดิ้นกระแด่วๆ แล้วเป็นลมสลบพับไปทันที หลังจากนั้นหลวงพ่อจึงเดินไปตบๆ แก้มแกอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันมาบอกแม่ว่าผีออกแล้ว

แต่เรื่องต่อจากนั้นผมจำไม่ค่อยได้ เพราะในเดือนถัดมาพ่อ-แม่ก็ส่งผมมาเรียนชั้นมัธยมในโรงเรียนที่น้าชายสอนอยู่ที่ตัวจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคกลาง และผมก็ไม่ได้กลับบ้านอีกนานเลย

จนผ่านไปอีกหลายปี จึงได้ข่าวว่าตายุทธ์ตายแล้ว เพราะไปเมาเหล้าต่างอำเภอแล้วปากเสีย เลยถูกพวกต่างบ้านรุมกระทืบแล้วเอาตัวไปถ่วงน้ำ แต่ตำรวจไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้

ผมเรียนหนังสือที่ตัวจังหวัดนั้นโดยอาศัยอยู่บ้านพักครูกับน้าชาย จนจบ ม.6 ก็เข้ากรุงเทพฯ มาเรียนในมหาวิทยาลัยเปิด ทั้งหมดนี้ผ่านไปหลายปีดีดักโดยที่ผมไม่ได้พบกับเหตุการณ์ประหลาดใดๆ อีกเลย จนกระทั่งผมเรียนจบ รับปริญญา ได้งานทำแล้วเป็นหลักแหล่งนั่นแหละ จึงมีเหตุให้ผมต้องเดินทางกลับไปยังจังหวัดที่เคยเรียนชั้นมัธยมอีกครั้ง

และก็ครั้งนี้เอง ที่ผมได้พบเจอกับประสบการณ์ประหลาดชนิดที่ไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต จนอดไม่ได้ที่จะต้องจดไว้ในบันทึกฉบับนี้ด้วยความฉงนใจ

เรื่องของเรื่องเกิดจากความตายของอาจารย์คนหนึ่งที่ผมเคารพรักยิ่ง ท่านเป็นอาจารย์สอนวิชาสังคมศึกษา สนิทสนมกับน้าชายและให้ความเอ็นดูผมเป็นพิเศษ อาจารย์นุเสียชีวิตในวัยใกล้เกษียณด้วยโรคในช่องปาก พิธีสวดศพมีสั้นๆ แค่สามวันซึ่งผมไปไม่ทันเพราะติดธุระที่ทำงาน จึงได้แต่เดินทางไปร่วมในพิธีฌาปนกิจเท่านั้น

และเนื่องจากน้าชายผมย้ายไปสอนที่จังหวัดอื่นแล้ว หลังงานเผาช่วงเย็น ผมจึงจำเป็นต้องเข้าพักในโรงแรมเพราะยังไม่อยากเดินทางกลับกรุงเทพฯ และนัดกับเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมที่เป็นคนจังหวัดนี้ไว้ กะว่าจะนั่งกินข้าวด้วยกันและคุยกันพอให้หายคิดถึงหลังจากที่จากกันไปร่วมหกเจ็ดปีได้แล้ว

โตขับรถเครื่องมาหาผมที่โรงแรมตอนหกโมงกว่า เขายังมีท่าทีขี้เล่นเหมือนเดิม หน้าตาไม่เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแค่มีผมหงอกขาวขึ้นประปรายก่อนวัยอันควร

“เราแพ้ผมน่ะ” โตบอก

“ยังไม่เลิกบุหรี่เหรอ?” ผมถามสวน

“เออ จมูกดีเหมือนเดิมจริงๆ นายนี่” โตหัวเราะแล้วแซวที่ผมจมูกไวได้กลิ่นบุหรี่จากปากเขา พลางถามกลับว่า “ทำไม แล้วนายเลิกแล้วหรือไง?”

“เปล่าซะหน่อย จะเลิกทำไม” ผมตอบยวน

“อ้าวไอ้นี่! แล้วมาทำเป็น!” โตหัวเราะลั่น

ค่ำวันนั้นเรานั่งอยู่ริมน้ำด้วยกัน คุยกันทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ เรื่องความเป็นไปของเพื่อนและคนรู้จักคนโน้นคนนี้

“เออ แล้วนายรู้มั้ย เรื่องอาจารย์นุน่ะ” อยู่ดีๆ โตก็พูดขึ้น

“เรื่องอะไรรึ?” ผมถาม พลางคิดได้ด้วยความประหลาดใจว่าวันนี้ผมไม่เห็นโตหรือเพื่อนๆ สมัยเรียนที่งานเผาศพอาจารย์เลย

“แกร้ายนัก”

“ฮื้อ! ใคร? อาจารย์นุน่ะนะ ยังไงวะ?”

“แกเป็นนายทุนร่วมกับพวกมาเฟียข้ามจังหวัดออกเงินกู้น่ะสิ รวยชิบหาย แต่แม่งอย่างโหด”

“โหดยังไง”

“ขู่ฆ่าลูกหนี้มั่ง ตัดมือลูกหนี้มั่ง สารพัด แต่เส้นสายแม่งอย่างเยอะ”

“เฮ้ย!” ผมตกใจ นึกภาพไม่ออกเลยว่าอาจารย์ที่เคยเคารพรักสมัยเด็กจะเป็นคนแบบนั้นไปได้ยังไง

“นายจำอาจารย์สุรชัยได้หรือเปล่า?” โตถามหลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่

“ได้สิ อาจารย์สอนคณิตฯ ใช่มั้ย?”

“เออ แกโดนไอ้อาจารย์นุกับพวกนี่รีดทรัพย์จนแทบไม่เหลืออะไร แล้วยังข่มขู่ลูกเมียจนกลัวจัดถึงขนาดต้องหนี ทิ้งแกไปอยู่กับญาติจังหวัดอื่นกันหมด จนสุดท้ายเหลืออาจารย์สุรชัยอยู่ตัวคนเดียว เห็นเขาว่าแกตรอมใจตายด้วยซ้ำ”

“อาจารย์สุรชัยเนี่ยนะ ตายแล้วเหรอ?” ผมแทบไม่เชื่อที่โตพูด

“เออ ปีที่แล้วนี่เอง เห็นเขาว่าตอนแกตาย นาฬิกาสักเรือนยังไม่เหลือติดข้อมือ”

“แกชอบนาฬิกามากนี่หว่า” ผมจำได้ว่าอาจารย์สุรชัยเป็นครูที่ชอบสะสมและอวดนาฬิกาใหม่ๆ แพงๆ กับเพื่อนร่วมงานและเด็กนักเรียนเป็นประจำ

“ใช่ หลังแกตาย พวกภารโรงยังเห็นแกอยู่ออกบ่อยเลยที่โรงเรียน เหมือนไม่ไปผุดไปเกิดว่ะ”

“ฮ้า! จริงสิวะ”

“เออ เราว่าอาจารย์นุนี่ก็ต้องโดนด้วย เห็นเขาซุบซิบกันว่าตอนก่อนตายแกพึมพำชื่ออาจารย์สุรชัยตลอดเวลาเหมือนกลัวอะไรไม่รู้”

“แล้วที่ภารโรงเห็นนั่นคือเห็นยังไง?”

“ก็เห็นอาจารย์สุรชัยน่ะแหละ เล่าไม่ค่อยเหมือนกันหรอก บางทีก็มาเป็นศพเละๆ เน่าๆ บางทีก็ลอยมาแต่หัว โอย แต่ทุกเรื่องจะคล้ายๆ กันตรงที่แกมาทวงนาฬิกา เอานาฬิกากูคืนมา… อะไรแบบนี้”

“เฮ่ย!” ผมถึงกับขนลุก

“อาจารย์นุนี่ก็ไม่รู้โดนอะไรเข้าไปยังไง”

“นายเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอวะ?” ผมหยั่งเชิง

“ก็ไม่ค่อยเชื่อหรอก” โตส่ายหน้า

“เราก็เหมือนกัน”

“แต่เรื่องอย่างนี้ใครจะไปรู้วะ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ดีกว่ามั้ย เดี๋ยวคืนนี้ได้โดนหลอกกันพอดี” โตพูดพลางหัวเราะแห้งๆ

“เออ ใช่ นายพูดดี” ผมพยักหน้า

โตขับรถเครื่องมาส่งผมที่โรงแรมตอนห้าทุ่มกว่า และเรื่องทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากว่าผมไม่ลืมซื้อบุหรี่ หรือว่าทางโรงแรมมีบุหรี่ขาย หรือมีร้านชำอยู่ข้างๆ โรงแรม

แต่เพราะผมบุหรี่หมดและดันลืมซื้อเข้ามา จึงเกิดความหงุดหงิดมากโดยเฉพาะเมื่อเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้ว หลังจากนั่งดื่มเบียร์จากตู้เย็นโรงแรมต่อคนเดียวพลางเปิดทีวีดูโน่นนี่มาพักใหญ่ๆ

แต่ยิ่งปิดทีวีคิดจะนอนก็ยิ่งหงุดหงิดนอนไม่หลับ ผลสุดท้ายจึงต้องลงไปข้างล่างแล้วถามรีเซพชั่นว่าแถวนี้มีที่ซื้อบุหรี่บ้างหรือเปล่า ก็ได้รับคำตอบว่าให้เดินผ่านวัดข้ามสะพานไปไม่ไกลจะเป็นฝั่งเมือง ซึ่งมีร้านชำเปิดดึกอยู่ร้านหนึ่ง

แต่เมื่อผมออกไปเดินๆ ดูทางก็พบว่าทางจะเดินผ่านวัดนั้นมืดมาก (เป็นวัดเดียวกับที่ผมเพิ่งไปร่วมงานเผาศพอาจารย์นุ) เพราะไม่มีไฟถนนเลย อีกทั้งยังน่าเชื่อได้ว่าหมาวัดทั้งหลายอาจจะรอต้อนรับผมอยู่ตรงไหนก็ได้ ผมจึงสองจิตสองใจเป็นอย่างมากว่าจะไปหรือไม่ไปดี

แต่ถ้าไปได้ ที่สำคัญก็คืออาจจะได้ซื้อเบียร์เพิ่ม ช่วงหลังๆ นี้ผมนอนไม่หลับเลยถ้าไม่ได้กินเบียร์จนเมา ซึ่งจริงๆ เมื่อกี้ตอนนั่งกินข้าวกับโตผมก็ว่าผมกินไปเยอะแล้ว แต่ก็แปลกใจเหมือนกันที่ไม่รู้สึกเมาเลยแม้แต่น้อย

ตัดสินใจในที่สุด เดินดุ่มๆ ไปในความมืด ที่พระจันทร์ถูกบดบังไว้ด้วยเมฆฝนที่ตั้งเค้าครึ้มมาตั้งแต่ก่อนห้าทุ่ม มีเสียงหมาหอน ผมขนลุกเกรียว แต่ก็คิดในใจว่าแค่หมาหอนมันจะเป็นอะไรไป จึงก้าวเดินต่อไป เดินต่อไปด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้น พลางสายตาก็จับจ้องเป้าหมายที่เชิงสะพานข้ามแม่น้ำที่มีแสงไฟส่องเห็นลิบๆ

แล้วทันใดนั้น ขณะผมเดินผ่านลานวัดด้านหลังที่เป็นพงหญ้ารกสูงและเต็มไปด้วยเจดีย์และฮวงซุ้ยน้อยใหญ่ ผมก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างเหม็นรุนแรงจนผงะและต้องหยุดเดินด้วยตกใจว่านั่นคือกลิ่นอะไร หรือว่ามันคือซากสัตว์? หรือว่ามันคือกลิ่นขยะเน่าเหม็น? ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่ๆ มันเป็นอะไรที่เหม็นกว่านั้น!

“ใคร…?”

ผมถามออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อพบว่าในพงหญ้าข้างทางระหว่างเจดีย์นั้นมีเงาตะคุ่มสีดำทึบเป็นรูปทรงคล้ายคนค่อม

“อือ… อือ…”

เสียงตอบนั้นแหบแห้งสั่นเครือเหมือนทุกข์ทรมาน ผมขนลุกไปถึงหนังหัว กลัวก็กลัวจนขาแข็ง นึกจะออกวิ่ง แต่สายตาเจ้ากรรมก็ยังคงเพ่งไปยังเงาร่างในพงหญ้าอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง

เมฆเคลื่อน จันทร์ส่งแสงสลัว กลิ่นเหม็นรุนแรงขึ้นจนผมเกือบทนไม่ได้และต้องชะงักลมหายใจไว้โดยไม่รู้ตัว

และสิ่งที่ผมเห็นในแสงจันทร์นั้นก็คือหัวขนาดใหญ่ลอยเรี่ยดินอยู่เหนือพงหญ้า ใบหน้าในความมืดสลัวดูคล้ายเด็กคล้ายชรา บนหัวมีแต่เส้นผมบางๆ ใบหน้ากลมป้อมบวมฉุนั้นคล้ายยิ้มแต่ไม่เชิงยิ้ม ดวงตาแดงเป็นสีเลือดเหมือนเคียดแค้นสิ่งใดน่าตระหนกนัก

แต่ที่สำคัญและสยดสยองที่สุดก็คือการที่หัวนั้นมันเหมือนลอยอยู่โดดๆ แต่เมื่อมองดูดีๆ ผมก็เห็นชัดกับตาว่าสิ่งที่อยู่ต่ำจากหัวลงไปนั้นมันคือหัวเข่าและหน้าแข้งเลยทีเดียว โดยร่างกายส่วนลำตัวนั้นอันตรธานไปโดยสิ้นเชิง มองไปแล้วจึงคล้ายกับมนุษย์ประหลาดหรือภูตร้ายที่มีแค่ขาท่อนล่างสองข้างและส่วนหัวขนาดใหญ่เรียงต่อกันอยู่เท่านั้น

“กี่โมงแล้วเหรอออออออ…”

เสียงเดิมที่แหบแห้งครวญครางถามขึ้น ทันใดนั้นผมก็หวีดร้องออกมาสุดเสียงอย่างไม่มีสติ มันถามเวลาผม! มันถามเวลาผม! มันไม่มีนาฬิกา! ไอ้ผีบ้า! ผมออกวิ่งและสะดุดล้มสะเปะสะปะ หันหลังวิ่งกลับโรงแรมด้วยหวาดกลัวสุดขีด ไม่รับรู้และไม่สนใจสิ่งกีดขวางใดๆ จึงทั้งชนทั้งเกี่ยวข่วนกับก้อนหินตามพื้นและลวดหนามตามทางอย่างไร้สติไม่รู้สึกตัวถึงความเจ็บปวดใดๆ

และถึงจะแตกตื่นจนไร้สติ ทั้งหวาดกลัวจนสุดจะบรรยาย แต่ในที่สุดผมก็วิ่งจนกลับมาถึงหน้าโรงแรมที่มีไฟสว่างจนได้ เหนื่อยหอบเหลือเกิน ผมทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้นถนน ตัวสั่น หัวใจเต้นรัว

จนกระทั่งกลับเข้ามาถึงในห้องพัก ตัวผมก็ยังไม่หายสั่น รีเซพชั่นมองผมแปลกๆ ด้วย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ผมว่าเขาต้องรู้อะไรบางอย่าง แต่แค่ไม่พูดเท่านั้น

ผมนอนไม่หลับทั้งคืน เปิดไฟสว่างทุกดวงทั่วห้อง ภาวนาอยู่อย่างเดียวให้รุ่งเช้ามาถึงโดยไว แล้วในที่สุดหลังการรอคอยอย่างยาวนาน ดวงอาทิตย์ก็ฉายแสง

หกโมงแล้ว เมื่อเปิดประตูก้าวออกไปที่ระเบียงผมจึงเพิ่งรู้ว่าตอนเช้าๆ นี่อากาศดีมากจริงๆ

ผมสงบเย็นลงมาก นั่งนิ่งสูดอากาศที่ระเบียงอยู่ครู่ใหญ่จึงตัดสินใจลงไปข้างล่าง เพราะไม่ไกลจากโรงแรมเป็นตลาดเช้าซึ่งน่าจะมีของกินขายแล้วตั้งแต่เช้ามืด หวังใจว่าอากาศเช้าและบรรยากาศของผู้คนบนท้องถนนคงช่วยให้ผมใจชื้นและปรับสภาพจิตใจให้เป็นปกติได้เสียที

ผมเดินหาของกินอยู่ครู่หนึ่ง ใจยังลอยๆ และเหม่อไม่หาย แล้วจู่ๆ ขณะที่เดินอยู่ในละแวกเขียงเนื้อเขียงหมูผมก็สังเกตเห็นแม่ค้าขายหมูคนหนึ่งจ้องมองมาทางผมด้วยสีหน้าท่าทีผิดปกติ

แล้วจากนั้นก็เห็นแกก้มหน้าลงคุยกับเด็กชายหัวโตร่างท้วมอายุราวเก้าขวบสิบขวบที่ดูเหมือนจะเป็นลูกแก พลางชี้มือชี้ไม้มาทางผมด้วยท่าทีสนอกสนใจ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัยว่าแกอาจจะเป็นคนที่ผมเคยรู้จักตั้งแต่สมัยอยู่ที่นี่หรือเปล่า

แต่ยังไม่ทันได้พูดจาอะไร แม่ค้านั่นก็ส่งเสียงหัวร่อก๊ากออกมาพลางชี้หน้าผมแล้วพูดเสียงดังยังกะฟ้าผ่าว่า

“โอ๊ยยยย! กลัวผีนักกลางค่ำกลางคืนก็อย่าออกมาเดินท่อมๆ สิพ่อคู้นนนน แหม่! ไปเห็นเด็กมันนั่งขี้เข้าหน่อยก็เผ่นเสียป่าราบ!!!!!!!”