เรื่องสั้น | หล่อนไม่เคยเห็นผี (จบ)

ในท้องทุ่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ จันทร์เคยเห็นงูต่างพากันเลื้อยเพ่นพ่าน เมื่อมีการใช้เคมี งูบางพันธุ์ค่อยอันตรธานหายไปจากผืนแผ่นดิน เดี๋ยวนี้หล่อนไม่เห็นงูงวงช้าง งูแสงอาทิตย์ งูปล้องทอง งูเห่า งูสิง ถูกล่าอย่างไม่ยั้งคิด หนูนาจึงอาละวาดกัดต้นข้าว หนูมีมากขึ้น แต่งูหายตัวไป จนครั้งหนึ่งต้องมีการให้รางวัลในการตัดหางหนูเป็นสักขีพยานว่าฆ่าหนูนาได้แล้ว หล่อนนึกถึงงู เมื่อไม่มีมัน หนูจึงมีมากมาย

เหมือนกับนกเค้าแมว นกแสก มันร้องดังแซกๆ ในยามดึกสงัด บินผ่านบ้านใคร หรือไปอาศัยหลืบมุมอยู่ ก็จะต้องถูกทำร้ายขับไล่ให้ออกไปจากบริเวณนั้น เพราะมีความเชื่อผิดๆ ว่าเป็นนกผี หล่อนรู้ว่านกพวกนี้ช่วยกำจัดหนูให้ชาวนา คงเป็นเพราะเสียงร้อง ตาโตกลอกไปมามีขนชันรอบตา จึงทำให้พวกมันดูน่ากลัว มันกินนก งู หนู กระรอก ตั๊กแตน เมื่อมีการใช้สารเคมีฉีดพ่นในนาข้าว แล้วนก หนู ตั๊กแตน แมลงได้กลืนกินเข้าไป เป็นห่วงโซ่อาหารทอดลามมาถึงนกเค้าแมว มันจึงหายไปจากท้องนา

กลางทุ่งนามีประดู่ขึ้นอยู่ประปราย ใบแผ่เป็นพุ่มกิ่งค้อมลงสู่ดิน ดอกสีเขียวสดห้อยระย้าเต็มก้าน ดอกส่งกลิ่นหอมเย็นบานสะพรั่งพร้อมกัน รุ่งขึ้นก็ร่วงพร้อมกันทั้งต้นภายในแค่วันเดียว หล่อนจำกลิ่นหอมเย็นนั้นได้ พอได้เวลาออกดอกก็จะรีบไปเฝ้าดู แล้วหล่อนก็เศร้าใจเมื่อพบว่ามันได้ถูกตัดโค่นไปเกือบหมด ศาลบูชาผีตั้งอยู่ใกล้ๆ เหล่าผู้คนต่างไม่เกรงกลัวและพากันเลิกไหว้ เลิกนับถือ ความวิบัติจึงเกิดขึ้น ไม้ใหญ่ยืนต้นล้มหายตายจากไป ต้นไม้เล็กไม้น้อยก็พลอยสูญพันธุ์ สัตว์พากันทิ้งถิ่นหนีหายไป

หล่อนเดินผ่านต้นสาบเสือ ซึ่งพอมีขึ้นให้เห็นตามทางรกๆ ที่มีป่าหญ้าขึ้นเต็ม กลิ่นของมันฉุน ใบรูปสามเหลี่ยมมีขน ขอบใบหยัก ดอกรวมกระจุกสีขาวปนม่วง แต่ก่อนจะนำใบมาตำพอกรักษาแผลสดห้ามเลือด หล่อนได้แต่คิดด้วยความเสียดาย อีกไม่นานก็คงหมดไป

นกท้องทุ่งท้องนาหล่อนรู้จักดี นกต้อยตีวิดมันจะร้องแต้แว้ดๆ ตี้วิด ตามพื้นหญ้าแม้แต่ในอากาศ ขาเหลืองยาว มีเนื้อสีชมพูอมแดงรอบตาถึงโคนปาก ชอบอยู่เป็นฝูง พบตามทุ่งนาไม่ไกลจากหนองน้ำ ชอบกินไส้เดือน ลูกกุ้ง ลูกปลา นกตะกรุม นกตะกราม หัวล้านเลี่ยนขอบตามีเหนียงสีน้ำตาลคลุมหู เท้าเรียวชะลูด ปีกกว้างใหญ่ นกกะปูด หล่อนจำเสียงร้องดังปูดๆ มันมีตากลมแดง ตัวดำปนน้ำเงิน ปีกสีน้ำตาลแดงไม่ชอบบิน มันโผไปตามสุมทุมพุ่มไม้ นกแซงแซวหางบ่วง มันคอยช่วยกำจัดแมลงเล็กๆ บนหลังควาย เหมือนกับนกเอี้ยง ผืนนาแต่ครั้งก่อน ในยามที่หล่อนเดิน พอนกเห็นคนก็พากันโผบินกันพึ่บพั่บ หล่อนนึกเสียดายนกหายไปหมดแล้ว บางชนิดเหมือนสาบสูญ เมื่อเหล่าผู้คนมักง่ายใช้ยาฆ่าแมลง มันได้ทำลายนกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยามมืดค่ำหล่อนก็ไม่ได้ยินเสียงนกร้อง ยิ่งน้ำในหนองพร่องจนกระทั่งแห้งผาก นกหายลับไป เมื่อคนบุกรุกสู่พื้นที่ของผี ความเชื่อถือเรื่องผีได้กลายเป็นความงมงาย คนไม่เชื่อนับถือผี ต้นไม้ใบหญ้า สัตว์มากมายก็ถูกทำลายล้าง ยิ่งผีหายไปทุกสิ่งทุกอย่างก็พลอยหายไป หล่อนเดินเข้ามาในท้องทุ่ง เพื่อจะนำพาผีกลับคืนสู่ธรรมชาติ เมื่อมีผีเอาไว้บูชา ต้นไม้และสัตว์จะอยู่อย่างมีความสุข เพราะคนไม่กล้ารุกรานพื้นที่ของผี

หล่อนมองเห็นความวิบัติในท้องทุ่ง คนของบริษัทเริ่มเข้ามาขอซื้อที่ดินเป็นผืนใหญ่ ต่อมาเสียงเลื่อยสเต็นกระหึ่มก้อง นกโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วไม้ใหญ่ยืนต้นก็ได้โค่นล้มฝุ่นฟุ้งกระจาย ผืนดินสะเทือนสั่นไหว กลิ่นความเศร้าล่องลอยอบอวลในอากาศ หล่อนเริ่มหวาดกลัว ผู้คนแปลกหน้าซึ่งได้เข้ามาทำลายความสมบูรณ์ในธรรมชาติ หล่อนเห็นนาข้าวถูกถมด้วยดินจนพูนสูง รถบรรทุกวิ่งขวักไขว่ ไม่นานเสียงปืนคำรามก้อง สัตว์ตายเกลื่อนกลาด หนองน้ำถูกถม ความสุขจึงหายไป ผีก็หายไปนานแล้ว

ไม่นานหล่อนจะนำผีกลับมา ผีจะต้องมีเหล่าผู้คนกราบไหว้และบูชา ผีจะทำให้คนเกรงกลัวหวาดกลัวจนไม่กล้าทำลายระบบนิเวศ ผีมีอยู่ในความอุดมสมบูรณ์ ผีจะบันดาลความสุขตลอดกาล เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต ทำให้คนเลิกละโมบ มีแต่ความโอบอ้อมอารี

หล่อนจ้องมองความวิบัติของสัตว์และต้นไม้ แล้วสลดรันทด ก่อนหน้านี้การขาดหายของช่วงผู้สืบสานร่างทรง ได้ทำให้ทุกชีวิตเดือดร้อนทั่วทุกหัวระแหง ทุนนิยมต่างพากันเข้ามารุกรานพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของผี พอคนเลิกเชื่อถือผี ในท้องนาจึงมีแต่กลิ่นยาฆ่าแมลง กลิ่นน้ำมัน กลิ่นปุ๋ยเคมี นานวันเข้าดินก็เสื่อม ความอุดมสมบูรณ์หายไป สิ่งมีชีวิตมากมายได้พากันหนีหายกันไปหมดสิ้น

ผีจะกลับมาอีกครั้ง เมื่อมีหล่อนอยู่จะต้องมีผีขุนน้ำ

ผีจะกลับคืนสู่ท้องนา ผีนำความสุขมาให้

ผืนนากำลังจะหดหายลงไปเรื่อยๆ ในยามมืดค่ำเสียงนกถูกกลบกลืนด้วยเสียงรถยนต์นานาชนิด ดวงตาแห่งค่ำคืนถูกจุดโดยแสงไฟฟ้า แสงจันทร์ส่องสว่างหายไปในท่ามกลางแสงไฟ แล้วจันทร์เต็มดวงก็ถูกลืมเลือน ไม่มีคนมานั่งดูความสวยงามนั้นอีกเลย

ช่วงข้าวออกรวง นกกระจาบจะพากันมากินเมล็ดข้าว เอาใบข้าวมาทำรัง ตกเย็นจะพากันส่งเสียงร้องตามยอดข้าว หล่อนเคยเห็นนกกระสาก้าวย่ำในน้ำ พากันยืนในนาข้าว ยืนนิ่ง พอกุ้ง ปลาผุดขึ้นมา มันจับได้ก็จะสะบัดโยนขึ้นกลางอากาศ ให้ปลาพุ่งหัวตกลงสู่ปาก ขณะที่หล่อนย่ำเดินในนาข้าว ความหลังครั้งเก่าได้ผุดขึ้นมา หล่อนนึกเสียดายสัตว์ต่างๆ ได้หายหน้าหายตาไปนานแล้ว ทันใดนั้น มีสัตว์บางชนิด กระโดดจากต้นไม้บนคันนา จากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง หล่อนเห็นตัวมันแล้ว กิ้งก่าไต่ต้นไม้รวดเร็ว แล้วมันก็เปลี่ยนสีเพื่อล่าเหยื่อหรือล่อลวงศัตรู มันกินแมลงอันเป็นศัตรูพืช เมื่อก่อนมันมีมากกว่านี้ เพราะพิษภัยจากยาฆ่าแมลง สัตว์ที่มีคุณประโยชน์ในธรรมชาติได้สูญหายไป ผืนนาจึงขาดความสมดุลของห่วงโซ่อาหาร

หล่อนใจหายทุกครั้งเมื่อเห็นความเจริญได้แผ่ขยายเข้ามา ถนนสีดำเลื้อยลามรุกรานความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า ต้นตาลถูกโค่นทำลายตามหัวคันนาจึงหายากเต็มที แต่ก่อนคนในชุมชนมีการทำน้ำตาล มองไปทางไหนก็จะเห็นกระบอกกรองน้ำตาลกับกระทะสำหรับเคี่ยวน้ำตาล มีพะองเอาไว้ปีนป่ายสู่ยอดตาล เมื่อขึ้นต้นตาล ก็จะเอามีดขูดงวงตาล แล้วตัดปลายงวงทิ้งเหลือตอนโคน ถ้าเป็นตาลตัวเมียจะใช้ไม้หนีบผล ถ้าเป็นตัวผู้จะรูดดอกทิ้ง จากนั้นก็จะโยกงวงตาลไปมา ทำซ้ำกันหลายวันจึงเอาปลายงวงแช่ลงกระบอก ข้างในใส่ไม้เคี่ยม ไม้ตะเคียน ไม่ให้น้ำตาลมีรสเปรี้ยว หล่อนเศร้าใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเลื่อยยนต์ ต้นไม้ใหญ่ล้มลงบนดิน เสียงกระหึ่มก้อง มันได้พรากเอาผีไปด้วย ผีจึงเร่ร่อนลอยไปลอยมาอยู่ในอากาศ

เหลียวมองไปรอบตัว หล่อนไม่เห็นศาลเพียงตา แต่ก่อนตามท้องนาจะมีศาลเอาไว้บูชาผี มาวันนี้หล่อนไม่เห็นศาล ผีจึงจากท้องนาเป็นผีเร่ร่อน เมื่อแผ่นดินถูกขายเปลี่ยนมือไป ผีได้หายไปจนหมดสิ้น ต้นไม้ใบหญ้าถูกตัดโค่น คนเอาดินมาถมท้องนาจนปิดขวางทางน้ำ เหล่าคนแปลกหน้ามาพร้อมกับบริษัท หล่อนรู้ว่าคนพวกนั้นได้พากันขับไล่ผีให้เตลิดเปิดเปิง ไม่มีใครคิดถึงอกเขาอกเรา มีแต่การรุกราน กระทั่งแม่โพสพไม่มีที่อยู่อาศัย จึงได้แต่ลอยไปลอยมาอยู่ในอากาศ เพราะท้องนาปกคลุมด้วยสารพิษ เคยมีคนพบเห็นหญิงนุ่งห่มสไบ ยืนตัวสั่นพูดอะไรคางกระทบกัน หูตามืดมัวไปหมด ยิ่งฟังเสียงร้องโหยหวน เสียงนั้นเย็นเศร้า คนที่ได้ฟังใจหายวาบ ความหวาดหวั่นเข้าล้อมจับร่าง ติดตาไม่ลืม พอพระอาทิตย์ขึ้นจึงค่อยยังชั่ว

หล่อนไม่กลัวผีแต่ผีก็ไม่เคยมาให้หล่อนเห็น ยิ่งตอนกลางคืน พอตกดึกน้ำค้างลง หมาจะหอนขึ้นมา หล่อนเหลียวไปดู ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด แต่ได้กลิ่นหอมของดอกอะไรสักอย่าง เนิ่นนานกว่าจะนึกขึ้นได้ กลิ่นดอกลั่นทม มันหอมประหลาด หอมเย็นชวนเศร้า หล่อนจ้องมองความมืดข้างหน้า ไม่เห็นอะไรเลย นอกจากกลิ่นดอกลั่นทม หล่อนมองไม่เห็นผีซึ่งยืนตะคุ่มอยู่ใกล้ตัว

มองต้นข้าวในนา หล่อนรู้สึกใจหายพิกล

หล่อนรู้ว่าทุนนิยมมันล้อมหน้าล้อมหลังทุกด้าน บางครั้งก็ชะงักด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงต้นไม้ล้มครืน หล่อนตกใจพะว้าพะวัง หวาดกลัวว่าแม่โพสพจะหายไป หล่อนอยากให้เหล่าคนแปลกหน้าหวาดเกรงผี ชักอึดอัดใจ อยากบอกว่า อย่ารื้อศาลผีทิ้งไปเลยมันไม่ดี เพราะผิดผี ผิดจารีตประเพณี แต่ถ้อยคำของหล่อนกลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า เพราะไม่มีใครเชื่อน้ำคำนั้น ผีเป็นความงมงายไร้สาระ

ในทุกจังหวะชีวิตของหล่อน มีแต่ผีวนเวียนอยู่รอบตัว แต่หล่อนไม่สะทกสะท้านตื่นกลัว ต่อเมื่อได้เป็นร่างทรง ผีกลับหายหน้าหายตาไปหมด มีเพียงนาข้าวเขียวชอุ่มเพียงได้ดูได้มองก็ครึ้มใจที่สุด หล่อนจำต้องพาผีกลับบ้าน ผีจะอยู่ในต้นไม้ ก้อนหิน สัตว์ต่างๆ ผีจะคุ้มครองปกปักรักษาระบบนิเวศ

ท่ามกลางแดดระอุ หล่อนยืนในนาข้าว เบื้องบนมีศาลไม้ผุพังสูงเพียงตาปักอยู่บนดิน เมื่อหล่อนหลับตา ภาพหญิงนุ่งห่มสไบลอยอยู่ต่อหน้าต่อตา กลิ่นของดอกลั่นทมลอยอบอวล หล่อนเชื้อเชิญแม่โพสพให้มาอยู่เป็นมิ่งขวัญในนาข้าว

หล่อนลืมตา แดดจ้าทิ่มแทง ผีได้หายไปแล้วมีเพียงดอกลั่นทมสีขาววางอยู่บนพื้นดิน จึงหยิบขึ้นมาวางไว้หน้าศาลไม้ ทันใดนั้นมีลมแรงพัดซู่มา มีเสียงหัวเราะดังลั่น

หล่อนรู้ ผีได้กลับมาสู่ท้องนา ผีได้คืนเรือน ผีกลับมาแล้ว

ภายในลานบ้านเริ่มมีเหล่าผู้คนมากันหนาตา จันทร์จะต้องเข้าทรงเพื่อชักนำให้ผีกลับมาสู่ชุมชนแห่งนี้ หล่อนกวาดตาดูปะรำพิธี คนตีโทนซึ่งเป็นผู้หญิงสามคนนั่งประจำที่ พ่อเฒ่าจัดเตรียมหมาก พลู บุหรี่ สตางค์ผูกติดกับสายสิญจน์ ดอกมะพร้าว ดอกหมาก กระถางธูป ที่ปักเทียน แจกัน ผ้าแดงเอาไว้ผูกเอวคนที่จะเล่นผี แม่เฒ่านำต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง บายศรีพานมาวางตรงแท่นบูชา ขณะที่นางเดินเข้าไปยังปะรำพิธี มีลมพัดมาวูบหนึ่งคล้ายใครเดินเฉียดไป ตอนแรกนางตกใจคิดว่าใครเดินเฉี่ยวเข้ามา เมื่อคิดถึงผีนางขนลุกเกรียว พอมองเห็นพ่อเฒ่า ขยับปากจะบอกแต่แล้วกลับนิ่งเฉย ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะกันอยู่ไกลๆ ทุกอย่างภายในลานบ้านเต็มไปด้วยความครึกครื้น เมื่อคนตีโทน ขยับมือรัวหน้าโทน

จันทร์เดินออกมานั่งบนโต๊ะสี่เหลี่ยม มีฉัตรสูงตั้งไว้ทั้ง 4 มุมของโต๊ะ หล่อนพนมมือถือธูป 1 ดอกไว้ ทันใดนั้นหล่อนก็โอนเอนร่างเป็นวงกลม มีอาการสั่นเทิ้มทั้งตัว ลมพัดกระหน่ำรุนแรง เหล่าผู้คนต่างอกสั่นขวัญหนี ความหวาดหวั่นห่มคลุมไปทั่ว แม่เฒ่าชักจะประหวั่นใจ เมื่อนางเห็นจันทร์กระเด็นไปฟุบอยู่อย่างไม่กระดิก พอจะเดินเข้าไปจับตัวหล่อน พ่อเฒ่าได้ออกมายืนขวางเอาไว้ แล้วจูงมือนางพาไปนั่งข้างปะรำพิธี

หล่อนลุกขึ้นยืน พลางส่งเสียงหัวเราะ ชี้นิ้วไปที่หญิงคนหนึ่ง เธอผงะหงายหลังตกใจกลัว พ่อเฒ่าบอกให้เธอออกมานั่งต่อหน้าร่างทรง ใจเต้นราวกับตีกลองไม่หันมองดูใครทั้งหน้า เลยก้มหน้าหลบตาจันทร์

แม่เฒ่านำกระด้งมาวางตรงกลางลานบ้าน บอกให้หญิงคนนั้นหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ก่อนจะนำผ้าขาวม้ามาคลุมศีรษะ ผู้ที่จะเข้าผีนางด้งจับขอบกระด้ง เหล่าผู้คนที่ดูอยู่รอบๆ ร้องเพลงเชิญผีนางด้งพร้อมตบมือ คนตีโทนรัวมือตามจังหวะเพลง เมื่อนางด้งเข้าร่าง คนตีโทนจะตีโทนเร็วขึ้น นางด้งจะใช้กระด้งเคาะไปตามดิน หรือถือกระด้งขับไล่คนดู บางครั้งนางด้งก็รำวงไปตามจังหวะที่คนดูร้องให้รำ

เพลงเชิญผีนางด้ง

นางด้งเอย เข้าป่าระหงเข้าดงไม้หมาก

เจ้าสากไม้แดง กระแห้งแมงเม่า

กระด้งฝัดข้าว ให้มาชิดๆ ให้มาชายๆ

มาขนดินทราย มาให้นางด้งเอย

เสียงตีโทนกระหึ่มก้อง เหล่าผู้คนต่างพากันร้องเพลงตามจังหวะ ร้องพลางก็วิ่งหนีหลบหลีกนางด้ง เสียงลมหวือๆ ขณะกระด้งลอยผ่านใบหน้า ความสนุกสนานเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง พอได้ยินเสียงโทนคนก็แห่แหนกันมา พอลมพัดกระหน่ำมาเป็นระลอกฝุ่นปลิวคละคลุ้ง จันทร์นั่งมองดูอยู่บนโต๊ะ พอจะชักขาลงมาแล้วใจมันก็หวาม หล่อนจำใจนั่งอยู่บนนั้น นางด้งจับขอบกระด้งเคาะพื้นดิน วิ่งวนไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยยิ่ งคนตีโทนกระหน่ำรัว นางด้งร่ายรำ พลางเหวี่ยงกระด้งไปมา เมื่อได้เวลาพอสมควรแม่เฒ่ากรากออกไปประชิดตัว นางตะโกนเรียกชื่อที่หู นางด้งทรุดตัวฮวบลงกับพื้นนอนเหยียดยาว สักพักหนึ่งจึงรู้สึกตัวตื่น

จันทร์ขยับตัวลุกขึ้นยืน หล่อนชี้นิ้วไปยังหญิงอีกคน พ่อเฒ่าได้เดินเข้าไปจูงมือพามานั่งหน้าปะรำพิธี แม่เฒ่าหันไปบอกให้คนไปหยิบสุ่มมาให้ ร่างทรงกำลังทำพิธีเชิญผีนางสุ่ม เสียงเพลงของผีนั้นเศร้าเย็น คนตีโทนกระหน่ำมือรัวโทน ลมพัดกระโชกแรง ร่างทรงโอนเอนร่างไปมา เพลงของผีที่หลุดจากปากนั้นฟังดูวังเวง

เพลงเชิญผีนางสุ่ม

ผีสุ่มเอย สุ่มปลาในไหน

สุ่มปลาในห้วย สุ่มปลาในหนอง

สุ่มปลาในคลอง แม่ทองสุ่มเอย

ผู้หญิงที่เข้าทรงผีนางสุ่ม นั่งพนมมือ มีสุ่มอยู่ตรงกลาง คนตีโทนประกอบร้องเพลงเชิญผีนางสุ่ม เมื่อผีนางสุ่มเข้า จะลุกขึ้นวิ่งไล่คนไปรอบๆ เหล่าผู้คนต่างกู่ตะโกนบอกให้ผีนางสุ่มจับตัว ผีนางสุ่มวิ่งวนไปมาอย่างเหนื่อยอ่อน พอวิ่งไปทางไหน เหล่าผู้คนต่างหลบหลีกกันจ้าละหวั่น แม่เฒ่าเห็นว่าผีนางสุ่มดูจะเหนื่อยอ่อน นางเดินเข้าไปเอามือแตะตัว พลางตะโกนเรียกชื่อที่หู ผีจึงออกจากร่าง

จันทร์ถูกความเยียบเย็นคุกคาม ไกลตาออกไปแดดเป็นประกายวูบวาบ หล่อนมีสีหน้าเคร่งเครียดโดยฉับพลัน ผีที่อยู่ในร่างผู้หญิงได้ออกไปแล้ว แต่เสียงตีโทนยังก้องกังวาน จังหวะรุกเร้ากระตุ้นให้เหล่าผู้คนลุกขึ้นมาร่ายรำ เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ความอ่อนล้าเหนื่อยหน่ายถาโถมเข้ามา เสียงโทนกระชับแน่น ควันเทียนควันธูปลอยกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ยิ่งนานยิ่งหนาวเยือกเมื่อเพลงเห่กล่อมเล็ดลอดออกจากปากหล่อน ทำให้ใจเต้นโครมคราม ความหวาดหวั่นได้พลุ่งพล่าน มีเสียงหวีดร้องแตกกระจาย หล่อนลำตัวโยกไหวสะท้าน ดวงตาเลื่อนลอยหวาดผวา พ่อเฒ่ามีความประหวั่นซ่อนเร้นในหัวอก แม่เฒ่าทรุดตัวลงอย่างอ่อนแรง

ผีลอยเคว้งคว้าง หมุนวนอยู่กลางอากาศ มีเพลงของผีโอบหุ้มอยู่รอบตัว เงาเลือนรางซ้อนทับร่างของจันทร์ หล่อนเงยหน้าขึ้นหัวเราะลงคออย่างชอบใจ เป็นสุ้มเสียงผู้ชาย เหล่าผู้คนต่างอ้าปากค้างพูดไม่ออก ได้แต่มอง ความหม่นมัวของอากาศเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ ลมแรงได้พัดกราดมาอย่างหนักหน่วง หอบเอาฝุ่นปลิวว่อน เสียงโทนดังกระหึ่มก้องเต็มหู ภาพเงาพร่าพรายไหลมาท่วมทับ อัดตัวเบียดเสียด หายใจหอบถี่ หล่อนร้องอุทานออกมา เหล่าผู้คนตื่นตระหนกตกใจหวาดกลัว

ผีกำลังจับทรง เสียงตีโทนระรัวเร็วขึ้น

จันทร์ชี้นิ้วไปยังผู้ชายคนหนึ่ง ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว พ่อเฒ่าต้องร้องบอกให้ออกมานั่งข้างหน้า หล่อนเอามือวางบนศีรษะ ปากพึมพำ ร่างผู้ชายสะดุ้งเฮือก หล่อนบอกว่าผู้เข้าผีนางช้างต้องเป็นผู้ชาย ให้นั่งหมอบที่พื้น มีหนังวัวรอง พ่อเฒ่าใช้ผ้าขาวม้ามาผูกทำเป็นงวง และใช้ผ้าขาวม้าอีกผืนหนึ่งมัดที่เอวของผู้ที่เป็นผีนางช้าง ให้ควาญช้างซึ่งเป็นผู้ชายถือเอาไว้เพื่อควบคุมผีนางช้าง ก่อนที่จะเชิญผีนางช้างเข้าร่าง จะต้องมีการร้องเพลงเซ่นผีนางช้างโดยให้ผู้เข้าผีนางช้างพนมมือถือใบตองกรวยบรรจุเครื่องเซ่น มีหมาก 1 คำ เทียนไข 1 เล่ม เมื่อร้องเพลงเซ่นผีเสร็จ จะร้องเพลงเข้าผีนางช้างต่อไป โดยมีคนตีโทนประกอบจังหวะ เมื่อเสียงโทนดังรัว ผีนางช้างจะเข้าและไล่ตีคน และจะกินทุกอย่างที่มีคนส่งให้กิน กล้วยก็จะกินทั้งหวี อ้อยก็จะกินทั้งลำ ผีนางช้างจะออกมาร่ายรำ ไล่ฟาดงวงเข้าตีเหล่าผู้คน

จันทร์ร้องเพลงเซ่นผี น้ำเสียงเริ่มสะอึกสะอื้น

คนตีโทนกระหน่ำรัว ป๊ะโท่นป๊ะ โท่นป๊ะโท่นโท่น ป๊ะโท่นป๊ะ โท่นป๊ะโท่นโท่น

เออ…เอยเซ่นหล้า เซ่นข้าพเจ้าใบตองตัด

ผีตายในวัด ตัวน้อยตาดำ

วันนี้ยังจำ ตาดำละแม่นา

เออ…เอยเซ่นหล้า เซ่นข้าพเจ้าใบตองพลวง

ผีตายในวัดหลวง ผีตายในวัดหลวง

หลวงพ่อน้อย มาตายรัง

เพลงเชิญผีนางช้าง

นางช้างเอย มาตกเต่าร้าง

ช้างกินใบไผ่ วัวกินหญ้า

ช้างมาถลาไป ผู้หญิง ผู้ชาย

ชายลาเฮ เฮบัวลอย

เขาชักผ้าอ้อย สาวน้อยวนเวียน

ให้รอคอเขียน เสมียนคอลาย

มือถือหัวควาย โห่ฮิ้ว

ผีนางช้างวิ่งเอางวงไล่ฟาด เหล่าผู้คนแตกตื่น วงแตกกระจาย เสียงความตื่นตระหนกระงมลั่นอื้ออึง บ้างร่ำไห้หวาดกลัว บ้างหัวร่องอหาย บ้างยื่นอ้อยยื่นกล้วยให้นางช้างกิน เมื่อวิ่งตะบึงไปทางไหนคนก็แตกฮือ ตื่นตระหนกตกใจ ควาญช้างต้องดึงผ้าขาวม้าเอาไว้แน่น ต้องคอยวิ่งตามเพื่อควบคุมผีนางช้างอยู่ตลอดเวลา คนตีโทนกระหน่ำมือรัว เสียงโทนกระตุ้นให้ผีนางช้างวิ่งไล่กวดไปรอบวง ตัวชุ่มเหงื่อเปล่งเสียงร่ำร้อง ฮูม ฮูม ฮูม ควาญช้างตะโกนเกรี้ยวกราด พลางหอบหายใจกระโชกออกมา เหล่าคนดูได้เข้ามายึดแขนผีนางช้าง สะบัดแขนออกจากการเกาะกุม ควาญช้างต้องตะโกนเรียกชื่อที่ข้างหู ผีนางช้างจึงได้ออกจากร่าง

จันทร์รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าซีดเผือด มือไม้สั่นระริก ร่างทรุดฮวบลงกับพื้น ต่อมาหล่อนสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดผวา อึดอัดใจ ดวงตาเหม่อลอยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า