เรื่องสั้น | สุนทรีย์มืด (2)

ในไม่ช้า ขจรก็ปรับท่าทีใหม่ ดูกระปรี้กระเปร่าอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับเขาได้สงบศึกกับปัญหารอบตัว อารมณ์ดีและกลับมาคุยสนุก เล่นหัวพูดหยอกกับรุ่งเหมือนแต่ก่อน ไม่เอ่ยถึงเรื่องเก่าอีกแล้ว

“ขอบใจนะที่พาเราไปเปลี่ยนบรรยากาศ” ขจรกล่าวด้วยสีหน้าอิ่มกึ่งยโสซึ่งรุ่งรู้จักดี

ทุกอย่างเคลื่อนสู่รูปรอยที่ต่างออกไป ขจรชะลอความคิดที่จะขยับเปลี่ยนงานอย่างที่เปรยไว้ เหมือนจะรอให้แน่ใจกับอะไรบางอย่างเสียก่อน ส่วนรุ่งโชคไม่ดีนักเพราะตลาดกลางคืนที่เขาเปิดแผงขายเสื้อผ้าปิดปรับปรุงสถานที่ชั่วคราว ระหว่างหาทำเลใหม่แก้ขัดยังไม่ได้ รุ่งพลอยมีเวลาขลุกกับขจรมากขึ้น ในเมื่อเรื่องร้ายๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้วก็ไม่มีอะไรแทรกคั่นระหว่างกันอีก โดยเฉพาะเขามีส่วนสำคัญทำให้อีกฝ่ายเบิกบานสดใส การที่เขาพาขจรไปผจญภัยซึ่งกลายเป็นประสบการณ์ที่มั่งคั่งผิดธรรมดา ทำให้รุ่งเชื่อว่าได้ยกระดับตัวเองขึ้นในสายตาของเพื่อน บางเวลาเขามองดูขจรที่เหน็ดล้ากลับจากการสอนด้วยความเห็นใจและนับถือ ทำให้เขานึกถึงหลายช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต้องฝ่าอุปสรรคลำเค็ญต่างๆ ของตนเพื่อเอาตัวรอด ชะตาชีวิตที่คล้ายคลึงกันนี้เองนำคนทั้งสองมาใกล้กัน เขากับขจรเสมือนยืนหันหลังชนกันเผชิญหน้ากับโลก แต่ความคำนึงของเขาก็มักสะดุดกับภาพอันด้อยกว่าของตนเมื่อเทียบกับฝ่ายหลัง เขายังจำได้ถึงคำพูดบาดใจจนกรีดลึกในคราวนั้น ตอนที่ขจรกระฟัดกระเฟียดเรื่องงานหรืออะไรสักอย่าง แล้วพาลประกาศลั่นออกมาใส่รุ่งว่า พวกเขาอยู่ด้วยกันเหมือนเป็นการรวมตัวของพวกขี้แพ้

แต่ไม่ว่าอย่างไรคนทั้งสองก็ยังไม่คิดแยกกันอยู่ดี ช่วงมีเวลาว่าง รุ่งจัดแจงทำความสะอาดห้องอย่างขมีขมัน เริ่มจากห้องนอนของตัวเอง สู่ห้องนั่งเล่นกลาง เสร็จแล้วจัดการกับห้องครัว ร่างป้อม ปลีน่องโต เคลื่อนขยับไม่หยุดหย่อน นิ้วมืออูมขยับเป็นระวิง ขจรง่วนกับตำรา มีสมาธิเต็มที่ เขาไม่รับรู้การเคลื่อนไหวอึกทึก ไม่สังเกตหรือใส่ใจเลยสักน้อย พลิกหน้าหนังสืออย่างจ่อมจมอยู่บนเก้าอี้นวม รุ่งจงใจทำเสียงโครมครามชวนรำคาญ กึ่งๆ จะท้าทายความเมินเฉยของอีกฝ่าย ยิ่งรุ่งยืนกรานทำความสะอาดอย่างหมกมุ่น ขจรยิ่งดิ่งในสมาธิจดจ่อ ยิ่งเสียงดังวุ่นวายโหมรุมเร้า เขาก็ยิ่งครองความเงียบอย่างหวงแหน ความพยายามขัดจังหวะกลายเป็นเกมที่ไม่จบลงง่ายๆ รุ่งเดินไปรอบห้อง เลื่อนเก้าอี้ออก แล้วคืนกลับเข้าที่ทางของมันเช่นเดิม จัดชั้นหนังสือหรืออะไรก็ตามที่วางเป็นระเบียบดีอยู่แล้ว เขาไม่ผ่อนปรนการก่อกวน และถึงกับบุ่มบ่ามเข้ามาเก็บกวาดบนโต๊ะตรงหน้าอีกฝ่ายที่วางปึกเอกสารและหน้ากระดาษมีข้อความเพิ่งถูกเขียน รุ่งชำเลืองเพื่อนด้วยสายตายั่วแหย่ขบขัน สักพักขจรก็เหลือบมองอย่างดุดัน ยิ้มแยกเขี้ยว รุ่งหน้าแดงไม่กล้าสบตาเพื่อน ชั่วอึดใจขจรพรวดลุกเข้ามาเหนี่ยวคอและขยำหัวรุ่งจนผมยุ่ง แล้วเหวี่ยงเขาไปที่โซฟา ทำเอาเขาตกใจผิดคาด จากนั้นคว้ากองเอกสารตึงตังตรงไปที่ห้อง ปิดประตูปัง ขจรไม่ยอมออกมาอีกจนสายวันถัดมา

ขจรอุทิศตัวตั้งหน้ากับการเรียนการสอนกว่าเก่า เขาบอกตัวเองว่าทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมแล้ว แต่ความคิดที่ว่าชีวิตกลับมาเข้าที่เข้าทางนี่เองที่รบกวนใจเขา หยั่งเห็นสภาพซ้ำซากวนซ้ำของมัน เขานึกปรับปรุงตัวเอง ไม่ก็จัดระบบชีวิตเสียใหม่ เขาต้องการบางสิ่งที่สำคัญมีความหมาย หวังพิชิตอะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่ แต่แรงผลักดันก็เหี่ยวเฉาลง ทุกอย่างรอบตัวดูจะสูญเสียความวาววามไปทีละน้อย เขาหดหู่แต่ก็แสร้งทำเป็นว่ามีกำลังใจมากมาย เขารู้ว่าตนเองขาดความกระตือรือร้น แต่ก็ทำตัวกระฉับกระเฉงเหลือประดา เขาออนไลน์ตลอดเวลา เล่นโซเชียลมีเดียเป็นชั่วโมงๆ ตามหาอะไรสักอย่าง นานเข้ามันกลับฉุดให้จิตใจเหน็ดหน่ายสังเวช เขาหันเหตัวเองจดจ่อกับหน้าที่การงาน รับชั่วโมงสอนมากขึ้น บอกตัวเองให้อยู่กับความจริงตรงหน้า

วันหนึ่ง ขณะกวัดแกว่งไม้พอยเตอร์ประกอบคำพูดหน้าชั้นเรียน ขจรพลันรู้สึกแปลกพิศวงกับทุกอย่าง เขาจับได้ถึงน้ำเสียงตัวเอง การเคลื่อนไหวของแขนขา เขาตระหนักในเรือนร่างของตัวเองมากเสียจนรู้สึกแปลกแยกกับมัน เขางงงวยกับคลื่นที่ก่อตัวขึ้นมาในใจ รู้สึกเหมือนร่างกายถูกชักเชิด เขากระวนกระวาย เหงื่อเปียกชุ่มมือ ใจเต้นระรัว หวั่นเกรงว่าทุกคนจะเห็นอาการปั่นป่วนอย่างผิดสังเกตที่เขาสำแดงออกมา แต่เขาก็อดกลั้น ต่อสู้กับความรู้สึกเหล่านั้นซึ่งเหมือนกับกำแพงตระหง่านอยู่ตรงหน้า เขาพยายามครองสติป่ายปีนข้ามกำแพงนี้ให้ได้ จนอีกครู่มันก็วับหายไปเอง

แล้วไม่กี่วันต่อมา เหตุการณ์ทำนองนี้ก็เกิดซ้ำอีก ขจรกำลังบรรยายสมการเวกเตอร์บนไวต์บอร์ด จู่ๆ เขาก็รู้สึกพิกลกับตัวเอง ความสงสัยอย่างรุนแรงปราดเข้าสู่จิตใจอันงงงวยของเขา เขาเริ่มพูดวลีซ้ำๆ เอียงคอและปักหลักยืนเอามือเท้าสะเอวเพียรนึกคำศัพท์ง่ายๆ ที่เขารู้จักเป็นอย่างดี แต่อะไรบางอย่างทำให้เขาลืมมันเสียได้ เขาหยุดชะงักเป็นนาที ไม่สามารถพูดต่อได้ถ้าหากยังนึกคำศัพท์ไม่ออก แล้วพอระลึกได้เขาก็โกรธความไร้สมรรถภาพของตนจนเลือดซ่านใบหน้า เขาสะกดข่มและฝืนเล็กเชอร์ไปต่อ บรรยายเรื่องนิเสธของเวกเตอร์ ตะเบ็งเสียงขึ้นเพื่อกลบอาการลังเล ขณะที่จิตใจส่วนลึกเฝ้าถามว่า เกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดนี้คืออะไรๆ เขาถอยหลังออกจากไวต์บอร์ด แล้วเหลียวหันมาและกวาดสายตาเร็วๆ ไปยังแถวหน้าของชั้นเรียนที่มีนักเรียนไม่ถึงครึ่งห้อง เขาสังเกตกลุ่มนักเรียนกำลังกระซิบกระซาบ ชำเลืองส่งสายตากันไปมา เด็กหนุ่มคนหนึ่งยิ้มยวนสบตาเขา ขจรเมินอาการไร้สัมมาคารวะที่เห็น รีบหันไปแหงนมองไวต์บอร์ด จ่อปลายพอยเตอร์ขึ้นไปยังตารางแสดงผลคูณเชิงสเกลาร์ของกลุ่มเวกเตอร์ เสียงในใจบอกกับเขาว่า เด็กนักเรียนพวกนี้กำลังซ่อนความระทึกยินดีบางอย่างที่เห็นเขาในสภาพไม่ปกติ

ไร้สาระ ขจรโต้กลับไป พยายามกดเสียงนั้นให้จมหาย หลายนาทีที่เขาไม่ได้ยินไม่ได้ฟังอะไรเลยนอกจากเสียงของตัวเองเท่านั้น แล้วพลันเขารู้สึกสังหรณ์ขึ้นมา บิดเอวหันขวับไปมองชั่วแวบหนึ่ง ได้ทันสังเกตเห็นความเบื่อหน่ายฉาบวงหน้าเหล่านั้น ต่างนั่งเหม่อซึม ขาดแรงกระตุ้น ดวงตาดูทื่อไร้แววเสมือนว่าไม่ได้รับรู้เนื้อหาบทเรียนจากเขาเลยแม้สักน้อย พวกเขาแค่สนุกสนานกับท่าทางพิกลของอาจารย์สอนพิเศษที่เป็นสิ่งสลับฉากเล็กๆ น้อยๆ แก้เบื่อเท่านั้น เขาติเตียนตัวเองในการเรียนการสอนอันแห้งแล้ง พยายามดึงพวกเขากลับมาสู่เนื้อหาบนกระดาน แต่ไม่รู้จะร่ายมนต์ใส่พวกเขาเช่นไร เขารู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมหันต์ ค้างมือชี้ไม้พอยเตอร์ที่สมการบนไวต์บอร์ด อ้าปากแล้วก็หุบปากลงควานหาคำพูดที่ลืมไปแล้ว เสียงจ้อกแจ้กดังอยู่เรื่อยไป

หลังเลิกงาน ขจรดื่มเบียร์กระป๋องที่ห้องพัก นั่งเหยียดขาบนขอบเตียง ยิ้มหยันกับวันแย่ๆ ของตน เขาหงุดหงิดไม่รู้จะทำอะไรดี ทุกอย่างหลุดร่วนเป็นเศษเล็กเศษน้อย ขจรเปิดเบียร์อีกกระป๋อง เสียงรุ่งเคลื่อนไหวอยู่นอกห้อง แรงสะเทือนจากฝีเท้าย่องมาที่หลังบาน ตามด้วยเสียงเคาะประตูอย่างเกรงๆ ทั้งหมดนี้รังควานอารมณ์เขาซ้ำเติม เขาอยากอยู่เงียบๆ ตามลำพัง แต่เสียงเคาะดังไม่หยุด

“เลิกกวนใจเสียทีได้ไหมรุ่ง อยากโดนเพ่นกบาลหรือไงวะ” เขาตวาดฉุนเฉียว รู้สึกแย่ แต่ก็เริ่มจะปิดบังความรู้สึกที่จะยอมทนอีกฝ่ายไม่ได้อีก

เสียงเงียบไปแล้ว เขาดื่มเบียร์ไปเรื่อยๆ จนหมดกระป๋อง สักพักชักรู้สึกสะลึมสะลือ อ้าปากหาว เขานอนหลับน้อยลงในช่วงหลัง หลายคืนติดกันที่เขาลืมตาโพลงในความมืดจนดึกดื่นข้ามคืน นอนฟังเสียงกุกกักอย่างรุมเร้าตรงฝาห้อง พอทุบผนังแรงๆ สองสามทีเสียงของหนูตัวร้ายก็เงียบหาย ผ่านไปสักครู่ เสียงกุกกักอันทรหดก็หวนกลับมาอีก ดังต่อเนื่องอย่างแน่วแน่ เกือบจะฟังเหมือนท้าทาย เสียงข่วนตะกุยด้วยกรงเล็บเล็กๆ อย่างบ้าคลั่งหมายทะลวงบุกเข้ามา มันเหมือนจะดังอยู่ชั่วกัลปาวสาน เขาจินตภาพฟันแหลมกัดแทะกับอุ้งเล็บคมกริบตะกุยเนื้อผนังทีละเล็กทีละน้อย เจาะผิวแต่ละชั้นของเนื้อในจนกลายเป็นโพรงลึก มีอยู่คราวหนึ่งเขาผวาลุกหลังนอนนิ่งฟังเสียงอยู่เนิ่นนาน เขาคว้าขวดน้ำ พุ่งสายตาไปที่ต้นเสียงจากในผนัง มันดังชัดขึ้นและดูจะใกล้เข้ามาทุกขณะ

เขาจ้องเขม็งเตรียมพร้อม มือเงื้อง่าขวดน้ำไม่ขยับ รอมันโผล่ทะลุออกมาประจันหน้า

สภาพจิตใจของขจรย่ำแย่ลง เขาปล่อยตัว กินอาหารและหลับนอนไม่เป็นเวลา ไมเกรนที่หายไปนานแล้วหวนมาเล่นงานอีก ใบหน้าเขาคล้ำหมอง หงุดหงิดตลอดเวลา เขาแทบไม่เตรียมการสอน มองเห็นแต่การทุ่มเทอันสูญเปล่า จำนวนนักเรียนมาลงเรียนคลาสเขาเริ่มน้อยลง เขาคิดลาออกไปสอนที่ใหม่ หรืออาจหางานอย่างอื่น แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอะไร มันมุทะลุ หลักลอยเกินไป รุ่งพยายามจะเข้ามาสนทนากับเขา แต่เขาเฉย ไม่ยอมปริปาก ไม่แสดงแม้อาการฉุนเฉียวออกมาให้เห็น เขาเก็บเงียบและคิดว่ามันเป็นแค่อาการทางใจที่ต้องใช้เวลาเยียวยา ไม่ช้านานทุกอย่างคงผ่านพ้นเอง เขายังนึกถึงเกดบางครั้ง แต่เขาหักห้ามใจไม่หวนคืน รอให้มันกลายเป็นม่านหมอกความทรงจำ เวลาผ่านไปกลับปรากฏว่าไม่มีอะไรคืบหน้าในทางที่ดี เขายังกลัดกลุ้ม ดูเหน็ดเหนื่อยไม่ต่างจากเดิม เกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาต้องการอะไรกันแน่ คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาตลอดเวลา มันเป็นปัญหาที่เขาตอบไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจหยุดถามตัวเอง เขาเริ่มมองเห็นภาพรวมที่ผ่านมา เห็นบันไดชีวิตผ่านไปทีละขั้น เขาผ่านแต่ละขั้นได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น มันย้อนกลับมาไม่ได้อีกแล้ว เขาเริ่มกลัวว่าชีวิตที่เป็นอยู่แบบนี้จะทำลายเขา เขาต้องหาที่เงียบสงบเพื่อใคร่ครวญจริงจัง เขาระลึกถึงความสงบล้ำลึกในอุโมงค์ระบายน้ำ ความรู้สึกของการดิ่งลงสู่ก้นบึ้งดำมืด มันพลุ่งขึ้นมาในความนึกคิดทันใดราวสถานที่แห่งนั้นเชื่อมโยงกับจิตสำนึกของเขา

ขจรไปที่นั่นอีก ไปตามลำพังโดยไม่ได้ชวนรุ่ง ฝังตัวอยู่ในความมืด นั่งเหม่อจ้องสายน้ำ หวังพบจุดศูนย์กลางของตัวเอง เขารอคอยอย่างคาดหวัง ให้มันดาลใจไขแสงแวบเข้ามาในจิตใจอันมัวหม่นของเขา แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาชักสงสัยตัวเอง เกือบจะคิดไปว่ากำลังก้าวข้ามเส้นแบ่งของความวิปลาส แต่ความเคลือบแคลงก็บังเกิดเพียงชั่วครู่ ห้วงต่อมาสมองของเขาก็เริ่มคืนสู่ภาวะสงบ เขาจึงนั่งอยู่อย่างเดิมท่ามกลางความมืดห่อหุ้มตัว ฟังเสียงธารน้ำไหลรินเซาะซ่านในความสงัด เขาเลิกจดจ่อ เพียงรับสัมผัสถึงความต่อเนื่องที่ไหลรินเข้ามาภายใน จิตใจของเขาอ่อนระโหยลง ภาพความคิดที่อยู่เบื้องสายตาลับหายไปทีละส่วน และเขาก็เริ่มลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่าง เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ในสภาวะนั้นนานเท่าไร เขานั่งนิ่งพิงผนังคอนกรีตอยู่ในท่าเดิมเหมือนร่างกายเป็นอัมพาต จนเขาหวั่นว่าหากยังอยู่นิ่งไม่ยอมลุกจากที่ เขาจะไม่สามารถขยับตัวได้อีกเลย

หลังจากนั้นขจรแวะไปที่อุโมงค์ระบายน้ำอีกหลายครั้ง ขณะที่รุ่งต้องเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อไปออกร้านช่วงฤดูเทศกาลตามเมืองท่องเที่ยวหลายจังหวัด

“อยู่คนเดียวดูแลตัวเองให้ดี มีอะไรอย่าลืมติดต่อมาด้วย” รุ่งกำชับก่อนออกเดินทาง สบตามองใบหน้าเพื่อนที่ดูขรึมเคร่ง ห่างไกล ราวว่าไม่มีสิ่งใดสลักสำคัญที่จะเรียกร้องความสนใจจากเขาได้เลย

ขจรนิ่งขึ้น จิตใจดูจะกลับมามั่นคง เขาทำงานสอนตามปกติ ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างที่เคยเป็น รักษาเปลือกนอกเอาไว้ แต่รอยแยกกำลังกินลึกถึงแก่นกลาง เขาปิดบังความเหน็ดหน่ายและหวั่นกังวล สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือความสงบ เขาเลี่ยงไม่สุงสิงกับเพื่อนอาจารย์เหมือนแต่ก่อน พอหมดชั่วโมงก็รีบออกจากโรงเรียนกวดวิชา เขาไม่เกรี้ยวกราดกับนักเรียน แต่ความสุภาพนิ่งขรึมก็แฝงลักษณะอันเย็นชา เขาเลิกออกไปเที่ยวเตร่สังสรรค์ ไม่รับสายรุ่งที่โทร.มาหาเป็นระยะ เขาเข้าใจที่รุ่งเป็นห่วงเป็นใย ไม่อยากทำลายความสนิทชิดเชื้อ แต่เขากำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญ รู้ว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น เขาจึงพยายามปกป้องตัวเอง เขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงวนเวียนไปที่อุโมงค์ระบายน้ำ พาตัวเองผลุบหายทั้งที่ไม่เคยได้ข้อสรุปหรือคำตอบใดจากการกระทำเช่นนั้น เขารู้สึกว่าตัวเองสูญเสียการควบคุม กำลังถูกกลืนกลาย แต่เขาก็พอใจกับความมืดที่รัดรึง ได้จมลงสู่ประสาทสำนึกใหม่อันตื่นเร้า เขาจะนั่งนิ่งตรงจุดเดิม พิงผนังคอนกรีตเย็นชืด ม่านตาเบิกขยายจ้องเข้าไปในสิ่งอะไรที่เขาไม่รู้จัก หากเขาก็สามารถปรองดองกับมัน แล้วจิตใจเป็นอิสระก็ไม่ถูกรบกวนอีกต่อไป เขาเร้นตัวอยู่ที่นั่นนานขึ้นทุกที บางคราวนานจนมืดค่ำถึงก้าวโงนๆ ออกมา พอกลับถึงห้อง เขามักบอกตัวเองให้ยุติเรื่องนี้ ไม่ควรหลบหนีความจริง มันกำลังจะลากตัวเขาไปสู่ความว่างเปล่า แต่สักพักคำเตือนเหล่านี้ก็ไม่ทำให้วิตกหรือหนักอกหนักใจอะไร แล้วต่อมาก็จะมีวูบใดวูบหนึ่งที่เขาหวนนึกสภาพในอุโมงค์มืดและรู้สึกสะท้านใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน เสมือนว่าความศักดิ์สิทธิ์จากผลของมันยังคงอยู่อย่างไม่จางคลาย

สายวันต้นสัปดาห์ ขจรออกจากที่พักหลังจิบกาแฟครึ่งถ้วยเป็นอาหารเช้า อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเพราะนอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน สภาพอากาศทึมเทา ฝนปรอยบางๆ ไอขาวขุ่นปกคลุมไปทั่ว เขามุ่งหน้าไปยังโรงเรียนกวดวิชา ทางเท้าชื้นแฉะและลื่น ขณะย่ำไป สะเก็ดภาพจากความฝันอันสับสนก็ผ่านเข้าสมอง เขาพยายามคิดถึงอย่างอื่น จึงมองไปที่ร้านรวงบ้าง ดูป้ายโฆษณาทั้งหลายบ้างอย่างว้าวุ่นใจ พื้นฟุตปาธสีคล้ำเปียกดูหดหู่ แล้วเขาก็ชะงักเท้าเมื่อนึกถึงภาพในห้องเรียนที่นักเรียนนั่งเรียงสลอน ใจหวำลงในทันใด เขางุนงงและกวาดมองไปรอบตัว ก่อนตัดสินใจหันหลังกลับ ย่างเท้าสู่ที่พักและเข้าไปในห้องนอน ตระเวนสายตาจ้องสิ่งทั้งหลายอย่างพิจารณา เครื่องเรือน หนังสือบนชั้น ลวดลายของกระถางต้นไม้ตรงมุมข้างตู้ เพดานเหมือนจะต่ำลงกว่าเดิมทุกทีๆ เขาเงี่ยฟัง ไม่มีเสียงกุกกักจากผนังเหมือนเช่นเมื่อคืน เขายืนนิ่งอยู่สักครู่ พอรู้ตัวก็ยิ้มให้กับอาการใจลอยของตัวเอง

เขาเปิดตู้หยิบเสื้อผ้า ลงมือจัดกระเป๋า