วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร/ฝึกกระบี่ กลางมหาสาคร (135)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย
เสถียร จันทิมาธร

ฝึกกระบี่ กลางมหาสาคร (135)

ความคิดของคนก็เป็นไปตามอารมณ์ที่สะสม หมกมุ่นและครุ่นคิด เมื่ออินทรีพาเดินทางไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทาง 10 กว่าลี้ เอี้ยก่วยก็เริ่มฉุกขึ้น
“พี่อินทรีมีอายุสูงวัย นิสัยแสนรู้ หรือว่าจะชักนำเราไปยังทะเลน่ำไฮ้เพื่อพบกับเล้งยี้”
กิมย้งบรรยายตามสำนวน น.นพรัตน์ ว่า เมื่อนึกคิดอย่างนี้ถึงกับเลือดลมระอุ พลุ่งพล่าน ยากที่จะสะกดระงับก้าวเท้ายาวติดตามไป
ไม่ถึง 1 เดือนก็มาถึงชายทะเลตังโฮ้ (บูรพา)
ยืนบนก้อนหินใหญ่ทอดตามองไปยังท้องทะเล เห็นระลอกคลื่นปั่นป่วนในใจทั้งกังวลทั้งยินดี ไม่นานก็ได้ยินเสียงคลื่นดังครืนครั่นไม่ขาดสาย เอี้ยก่วยเคยพักอาศัยบนเกาะดอกท้อทราบว่าระดับน้ำทะเลมีขึ้นมีลง ทุกเที่ยงวันกับเที่ยงคืนจะสูง 1 ครั้ง
ตอนนี้อาทิตย์ทอแสงอยู่กลางฟ้าตรงกับช่วงเวลาน้ำทะเลหนุนสูงแล้ว เสียงคลื่นยิ่งมาดังสะเทือนเลื่อนลั่น คล้ายกองทัพม้าควบตะบึง
เห็นเส้นขาวเส้นหนึ่งถาโถมเข้าฝั่งอย่างเร่งร้อน สภาวะรุนแรงยิ่งกว่าอสุนีบาตฟาดทลาย
พริบตานั้นคลื่นโถมถึงเบื้องหน้าปานจะท่วมท้นจนถึงโขดหิน เอี้ยก่วยพุ่งถอยไปด้านหลัง พลันรู้สึกมีพลังมหาศาลสายหนึ่งผลักเข้ากลางหลังพร้อมกับที่อินทรีกางปีกจู่โจมใส่
สถานการณ์การฝึกครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้น

เมื่อประสบเบื้องหน้าเป็นคลื่นยักษ์ เบื้องหลังเป็นอินทรี เอี้ยก่วยลอยขึ้นกลางอากาศมิอาจควบคุมอะไรได้จึงตามมาด้วยเสียงตูมเมื่อร่างร่วงหล่นกลางเกลียวคลื่น
รู้สึกในปากเค็มกร่อยเพราะดื่มน้ำทะเลลงไปหลายอึก
ยามนี้สถานการณ์คับขัน ดีที่เคยฝึกท่ากระบี่ในกระแสน้ำป่าอันเชี่ยวกรากเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน ดังนั้น ใช้ท่าร่างถ่วงพันชั่งปักหลักยืนหยัดอยู่บนแก่งหินใต้ท้องทะเล
บนพื้นน้ำมีคลื่นใหญ่ปานขุนเขา ใต้พื้นน้ำกลับสงบยิ่ง
หลังระงับจิตให้สงบ เอี้ยก่วยค่อยเข้าใจ “ที่แท้พี่อินทรีชักนำเรามายังที่นี่เพื่อให้เราฝึกปรือกระบี่กลางคลื่นพิโรธนี่เอง”
ยามนั้นสะกิด 2 เท้าพุ่งฝ่าพ้นจากผิวน้ำ
รู้สึกมีพลังหนึ่งมาปะทะคุกคามใบหน้า คลื่นใหญ่อันคล้ายภูเขาลูกย่อมๆ ลงทับเข้าที่ศีรษะ เอี้ยก่วยใช้พลังจากแขนซ้ายกดใส่สายน้ำทะยานข้ามยอดคลื่น สูดลมหายใจลึกๆ แล้วทิ้งตัวลงยังพื้นน้ำอีกครา
ทยอยเปลี่ยนลมหายใจ รอจนคลื่นถดถอย ระดับน้ำลดก็เหน็ดเหนื่อยจนหน้าซีดขาว
เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งอันแผกต่างจากที่เคยฝึกเพลงกระบี่กลางสายน้ำ และฝึกเพลงกระบี่ท่ามกลางหิมะโปรยเป็นสาย
เป็นเพราะการชักนำของ “พี่อินทรี” โดยแท้

พอล่วงเข้าเที่ยงคืนวันเดียวกันระดับน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นเหมือนเมื่อตอนเที่ยงวัน เอี้ยก่วยถือกระบี่ไม้พุ่งฝ่าเกลียวคลื่นขาว สะบัดกวัดแกว่ง
รับรู้พลังแห่งคลื่นที่หนุนเนื่องเข้ามา คลื่นแล้วคลื่นเล่า
มีความแผกต่างกับพลังแห่งกระแสน้ำป่าในหุบร้างอย่างแน่นอนเพราะเพียงกระแทกจากบนลงสู่ล่าง แต่เกลียวคลื่นจะโถมพัดซัดเข้ามาจาก 4 ทิศ 8 ทาง จึงทุกครั้งคราที่ต้านทานรับมือไม่ได้ก็จะดำดิ่งลงใต้น้ำเป็นการหลบเลี่ยง
ฝึกซ้อมเช่นนี้วันละ 2 ครั้ง 1 เที่ยงวัน 1 เที่ยงคืน ติดต่อกันเป็นเวลาไม่ถึง 1 เดือนรู้สึกว่ามีพลังฝีมือรุดหน้าอย่างเด่นชัด
ยามอยู่บนบกถือกระบี่ไม้ทิ่มแทงจู่โจมจะเกิดเสียงดังปานระลอกคลื่น
หลังจากนั้น อินทรีจะเข้าจู่โจมหยอกล้อเล่น ที่เห็นก็คือ อินทรีจะหลีกเลี่ยงจากด้านตรงของกระบี่ไม้ไม่กล้ากางปีกรับเหมือนกาลก่อน วันหนึ่งเอี้ยก่วยหยอกเย้าจนกระตือรือร้นคึกคักสะบัดกระบี่ฟันออกด้วยพลัง 10 ส่วน
อินทรีส่งเสียงร้อง กระโดดออกไปด้านข้าง

ฉับพลันทันใดนั้นเอี้ยก่วยรั้งสภาวะไม่ทันกระบี่ฟันใส่ต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่ง ผลที่เห็นก็คือกระบี่ไม้หักสะบั้น ขณะที่ลำต้นของต้นไม้นั้นหักกลาง
เห็นดังนั้นเอี้ยก่วยมือถือด้ามกระบี่หักครุ่นคิดขึ้น
“กระบี่ไม้เปราะบางไร้พลังกลับสามารถฟันต้นไม้หัก ย่อมอาศัยพลังข้อมือของเรา หากภายหน้าฟันต้นไม้หักโดยที่กระบี่ไม่เสียหายอย่างนั้นจึงจะมีความสำเร็จใกล้เคียงกับผู้อาวุโส”
จะเป็นผู้อาวุโสท่านใดเล่า เว้นเสียจาก “ต๊กโกวคิ้วปาย”