วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร / หนีหวง หักแผน เย่วกุ้ยเฟย (33)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

หนีหวง หักแผน เย่วกุ้ยเฟย (33)

 

คนที่จัดเจนที่สุดเบื้องหน้าสถานการณ์ในตำหนักเจาเหรินย่อมเป็นพระสนมเย่วกุ้ยเฟย แต่ละจังหวะก้าวล้วนรัดกุม

พยายามอุดช่องว่าง รอยโหว่อย่างเต็มที่

1 สั่งการต่อซือหม่าเหลย “เจ้ารีบออกจากวังทางด้านหลัง จำไว้ วันนี้เจ้าไม่เคยเหยียบย่างตำหนักเจาเหรินแม้ครึ่งก้าว”

1 สั่งการต่อเซียวจิ่งเหยียน

“เจ้าก็ฟังให้ดี วันนี้รัชทายาทมิได้สั่งให้ยิงธนูทำร้ายพวกเจ้า เจ้าก็มิได้พาดดาบบนคอรัชทายาท เข้าใจหรือไม่”

แววตาจิ้งหวังทอประกายวูบหนึ่ง มิได้ตอบคำ

“ใช้ดาบข่มขู่รัชทายาท และปล่อยธนูยิงทำร้ายองค์ชาย ล้วนเป็นเรื่องรุนแรงที่ฝ่าบาทไม่ทรงอยากได้ยิน ข้าไม่อยากเห็นพวกเจ้าตกตายพร้อมกัน ส่วนเรื่องอื่นๆ ต่างฝ่ายต่างหาวิธีช่วยตัวเอง ให้ฝ่าบาทเป็นผู้วินิจฉัยเถอะ

เจ้าเป็นคนฉลาด คงทราบว่านี่เป็นข้อตกลงที่มีประโยชน์ต่อเจ้า ไฉนไม่รับไว้เล่า”

เซียวหน้าจิ้งหวังราบเรียบ ปราศจากความเคลื่อนไหว ทว่าดาบในมือกลับค่อยๆ ถอยห่างจากลำคอรัชทายาทก่อนถูกโยนลงพื้น

 

ยามนั้น เงาร่างแก่ชราของไท่หวงไท่โฮ่วปรากฏขึ้นที่นอกประตูลานสวน คนที่ยืนเคียงข้างนอกจากองค์หญิงจิ่งหนิง ยังมีสตรีชุดยาวมงกุฎหงส์ ใบหน้าเคร่งขรึม เยือกเย็น อีกคนหนึ่ง

เป็นเจ้านายสูงสุดแห่งตำหนักเจิ้งหยาง หวงโฮ่วในรัชกาลปัจจุบัน

สิ่งแรกที่เร้าความสนใจของไท่หวงไท่โฮ่วย่อมเป็นจิ้งหวังซึ่งเดินถึงข้างกายและกำลังพยุงหนีหวงที่ทรุดนั่งอยู่ให้ยืนขึ้น

จวิ้นจู่ใบหน้าแดงซ่าน 2 ตาปิดสนิท

“วันนี้ เชิญจวิ้นจู่มาร่วมดื่มสุรา คิดไม่ถึง สุราออกฤทธิ์รุนแรง หนีหวงก็เลยมึนเมา”

“หนีหวงจวิ้นจู่เป็นสตรีห้าวหาญ ย่อมไม่ใช่คนคออ่อน ไฉนเมามายง่ายดายเช่นนี้ แล้วทหารองครักษ์มาทำอะไรกันเต็มสวนไปหมด หรือมีคนบังอาจก่อเรื่องในตำหนักเจาเหรินแล้ว เจ้าว่ามา ข้าจะเป็นธุระจัดการให้”

คำอธิบายจากเย่วกุ้ยเฟยน่าสนใจ

“ทหารองครักษ์เหล่านี้เป็นเพราะรัชทายาทต้องการฝึกซ้อมการใช้ดาบและธนูให้หม่อมฉันดู เห็นว่าถ้าฝึกซ้อมได้อย่างเป็นระเบียบจะแลดูเหมือนการร่ายรำชนิดหนึ่ง”

เหยียนหวงโฮ่วจับจ้องดวงตาเย่วกุ้ยเฟยแน่วนิ่ง

“กุ้ยเฟยกล่าวล้อเล่นอันใด เจ้าปล่อยจวิ้นจู่ซึ่งเป็นแขกสำคัญเมามายล้มพับอยู่บนบันไดโดยไม่เหลียวแล แต่กลับชมดูการแสดงร่ายรำดาบค่ายกลธนู คำพูดเช่นนี้นำมาตอบคำถามข้าก็พอได้ แต่หากทูลฝ่าบาทเช่นนี้…”

 

แม้สายเนตรของไท่หวงไท่โฮ่วจะไม่คมชัดเท่าใดนัก แต่กล่าวสำหรับเหยียนหวงโฮ่วทุกอิริยาบถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของหนีหวงจวิ้นจู่ย่อมเด่นชัด

คำกราบทูลต่อไท่หวงไท่โฮ่วมากด้วยนัยยะซ่อนเร้น

“ไท่หวงไท่โฮ่ววางพระทัย หนีหวงดื่มจนเมามายแต่ช้าเร็วก็ต้องได้สติ รอให้นางสร่างเมา หม่อมฉันจะตักเตือนนางให้หนัก ต่อไปอย่าได้ดื่มสุราร้อนแรงเช่นนี้อีก”

ได้ยินดังนั้นเย่วกุ้ยเฟยจุกแน่น ณ ทรวงอก

นี่เป็นส่วนที่ยากเก็บกวาดที่สุดของแผนการทั้งหมด จิ้งหวังมีความผิดที่เอาดาบพาดคอรัชทายาท เรื่องนี้ตกลงกันเรียบร้อยว่าไม่สืบสาวเอาความ

ซื่อหม่าเหลยก็หนีไปแล้ว หวงโฮ่วไม่มีพยานบุคคลในเหตุการณ์

ไม่ว่านางจะกราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์อย่างไรก็เป็นแค่คำพูดฝ่ายเดียว ยังพอหาวิธีแก้ต่าง จะมีก็แต่ปากของจวิ้นจู่ทำอย่างไรถึงจะอุดไว้ได้ เวลานี้ความหวังเดียวก็คือ ขอให้จวิ้นจู่อับอายจนไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องหลู่เกียรติต่อหน้าธารกำนัล เลี่ยงไม่ให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรีของตัวเอง

องค์หญิงจิ่งหนิงวิ่งไปถึงข้างกายหนีหวงจวิ้นจู่ ก้มมองใบหน้าแดงซ่านด้วยความเป็นห่วง

“ทำอย่างไรดี เมาขนาดนี้ พยุงไปพักที่ตำหนักข้าก่อนก็แล้วกัน”

จิ้งหวังคิดว่าให้น้องสาวตนดูแลจวิ้นจู่ค่อนข้างเหมาะสมกว่า จึงผงกศีรษะเห็นด้วย พลันร้องสั่งคนหามเกี้ยวเล็กเข้ามาโดยขออนุญาตจากหวงโฮ่วก่อนตามธรรมเนียม

จากนั้น คุ้มครองส่งหนีหวงออกจากตำหนักพร้อมกับจิ่งหนิง

 

จุดอ่อนที่สุดอันเป็นความวิตกของเย่วกุ้ยเฟยล้วนถูกหนีหวงจวิ้นจู่พังทลายลงทันทีที่สติสัมปชัญญะหวนกลับโดยสมบูรณ์

นางตัดสินใจเข้าเฝ้า

“ความจริงนี่มิใช่เรื่องที่น่าเปิดเผย บางทีกุ้ยเฟยคงคิดว่าข้าจะอับอายจนเก็บความอัปยศนี้ไว้ไม่ยอมพูดออกมา แต่เสียดายนางมองข้าผิดไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงวันนี้นางลงมือไม่สำเร็จ ต่อให้แผนนางลุล่วงสมใจคิดให้ข้าศิโรราบกราบกรานแทบเท้านาง

นั่นเป็นแค่ฝันกลางวันเท่านั้น ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด”