จดหมาย | ประจำวันที่ 11-17 สิงหาคม 2566

จดหมาย | ประจำวันที่ 11-17 สิงหาคม 2566

 

• เส้นทาง (1)

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

พวกเราทุกคนที่เกิดมาย่อมได้รับ “บุญคุณ” จากพ่อแม่ญาติพี่น้อง-คุณครูบาอาจารย์

ซึ่งเป็นรากฐานในบริบทแห่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ให้ได้มีการศึกษาวิชาความรู้ บนพื้นฐานแห่งศีลธรรมเพื่อการเจริญเติบโตขึ้นมาดำรงชีวิตอย่างมีเกียรติ ภาคภูมิใจในสัมมาอาชีวะหน้าที่การงานความรับผิดชอบ

ด้วยวุฒิภาวะ

– การเอาชนะใจตน ดูแลตนเองให้มั่นคง เข้มแข็ง เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติ ให้วิวัฒนาการไปตามเจตนารมณ์

– อุดมการณ์ของผู้มีอุปการคุณซึ่งได้ถ่ายทอด ปลูกฝัง อบรม สั่งสอน สืบทอดกันมาตามแต่ละยุคสมัย

ซึ่งเมื่อพิจารณาจากชีวิตความเป็นจริงตามเหตุและผลของบุคคลแต่ละคนหรือบริษัท ห้างร้าน หน่วยงานแล้ว

องค์กรที่ประสบผลสำเร็จเจริญก้าวหน้าในสัมมาอาชีพล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานมาจากระบบ ระเบียบวินัย การเคารพตนเอง

มีความซื่อสัตย์ ประพฤติดี ปฏิบัติชอบตามกรอบของกฎหมาย ตามคติคำสอนแห่งศาสนาและพระบรมราโชวาทเป็นที่ตั้งทั้งสิ้น หากแม้นยังมีผู้ที่ยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน ยังตกอยู่ในวังวนของอุปสรรคขวากหนาม

แต่หากยังมีความมุ่งหวังตั้งใจแน่วแน่ในเส้นทางเดินที่ดี ที่ถูกที่ควร

ความใฝ่ดีอันมั่นคงอยู่ในจิตใจนั้นย่อมเป็นพลังยิ่งใหญ่ให้บรรลุไปถึงเส้นชัยอย่างภาคภูมิทุกย่างก้าว

ซึ่งตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง (ประดุจดั่งฟ้ากับเหว) ในเส้นทางเลว อัปยศอดสู ที่หดหู่ อัปมงคลทุกก้าวเดิน

แม้นจะมากด้วยบริวารว่านล้อมพร้อมพรั่งทรัพย์สินศฤงคาร ก็ใช่ว่าจะหาความสงบในจิตใจได้

ด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่ได้มาด้วยความไม่ชอบธรรมนั้น มันเป็นบาปที่คอยกัดกร่อนจิตใจให้อยู่ไม่เป็นสุข

ยิ่งมีมาก (ยิ่งอยู่ยาว-นาน) ยิ่งบาปหนาสาหัสเป็นทุกข์อยู่ทุกขณะจิต

…ทุกขณะจิตจากมหันตโทษแห่งการทรยศ หักหลังเพื่อนมนุษย์ อกตัญญูต่อคำอบรมสั่งสอนของบิดามารดร-คุณครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาท-ตำราวิชาการ ให้เจริญรุ่งเรืองเติบโตก้าวหน้าขึ้นสู่ “อำนาจ”

(แทนที่จะใช้อำนาจที่ได้ครอบครองตอบสนองเจตจำนงผู้คนในแผ่นดินถิ่นกำเนิด-บิดรมารดา ทว่า กลับลุแก่อำนาจ ขาดสติสัมปชัญญะ ไร้ซึ่งหิริโอตตัปปะ ไม่หวั่นเกรงต่อบาปกรรม)

กลับนำมติเห็นชอบที่ได้รับจากมหาชนไปเสกสรรปั้นแต่งเอาตามอำภอใจในความอยาก-ละโมบโลภมากอย่างไม่แคร์ความรู้สึกมวลชน

ไม่อินังขังขอบต่อความชอบธรรม อันเป็น “กรรม” นำมาซึ่งกลียุคลุกเป็นไฟแผดเผาบ้านเกิดเมืองนอนของตน

(อย่างเลือดเย็น อำมหิตผิดมนุษย์เพียงเพราะมืดหน้าตามัว เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เมามัวในลาภ ยศ สรรเสริญ กิเลสตัณหา ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นอบายมุขในเส้นทางอโคจร)

สงกรานต์ บ้านป่าอักษร

 

เส้นทางที่ดี

ย่อมนำพาผู้ที่เดินบนเส้นทางนั้น

ประสบแต่สิ่งดี–ถูกต้อง

เส้นทางที่ไม่ดี

ย่อมนำพาผู้ที่เดินทางบนเส้นทางนั้น

ประสบแต่สิ่งไม่ดี–ถูกต้องเช่นกัน

ความจริงอันเรียบง่ายเช่นนี้ น่าจะปฏิบัติได้ไม่ยาก

แต่เอาเข้าจริง กลับไม่ใช่

เราจึงเห็นอย่างที่ “สงกรานต์ บ้านป่าอักษร” ยกกล่าวถึง

นั่นคือ

“…กลับนำมติเห็นชอบที่ได้รับจากมหาชนไปเสกสรรปั้นแต่งเอาตามอำเภอใจในความอยาก-ละโมบโลภมากอย่างไม่แคร์ความรู้สึกมวลชน”

เพราะอย่างนี้ เราถึงยังไม่มีนายกฯ และรัฐบาล

ที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน

ใช่ไหม

• เส้นทาง (2)

ถ้ารอ 9 เดือนไม่ได้

1) ใช้มาตรา 5 ให้ ส.ส.เลือกนายกฯ เนื่องจาก ส.ว.ส่วนใหญ่ไม่สำนึก ขัดรัฐธรรมนูญ และแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล (ทั้งที่เป็นเรื่องนายกฯ เรื่องเดียว)

2) เลือกตั้งใหม่เลยครับ ถ้าฝ่ายอำนาจเก่าแน่ใจว่าประชาชนเห็นด้วยกับเขา

3) ทำประชามติใหม่ว่า ส.ว.ควรเลือกนายกฯ หรือไม่

วิธีอื่นประเทศไม่สงบแน่นอนครับ 250 คนจะมาขัด 14 ล้านคน มิได้

Tutu Prom

 

มาตรา 5 ที่คุณ Tutu Prom กล่าวถึง

หากไม่เข้าใจผิด คงเป็นมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560

ที่ระบุว่า

“รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทําใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทํานั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทําการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้น

ไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

ซึ่งก็คงหมายถึง การเลือกเส้นทางให้ใช้วิธีหักดิบ โดยยึดตามประเพณีการปกครอง

นั่นคือ เมื่อประชาชนเสียงส่วนใหญ่แสดงเจตจำนงเลือกใครมาเป็นนายกฯ และรัฐบาลแล้ว

ก็ควรเดินตามนั้น

แต่เอาเข้าจริงคงปฏิบัติยาก

รวมถึงข้อ 2 และข้อ 3 ด้วย ที่เป็นไปได้น้อย หรือเป็นไปไม่ได้เลย

ถ้าจะเป็นไปได้ มีทางเดียว

คือต้องได้คนและพรรคของพวกเขาที่ “วางเกม” ไว้เท่านั้น

ฝ่ายอื่นอย่าแหยม! •