อีกหนึ่ง ‘ยักษ์’ ที่ถูกปลุก | ปราปต์ บุนปาน

“อาจารย์กนกรัตน์ เลิศชูสกุล” แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพิ่งให้สัมภาษณ์มติชนทีวีเมื่อสัปดาห์ก่อน ไว้อย่างละเอียดลออและเป็นระบบระเบียบ ถึงพลังที่เชื่อมโยงหนุนเสริมกัน ระหว่างม็อบเยาวชนต้นทศวรรษ 2560 กับชัยชนะของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้ง 2566

หลายปีก่อน พลังของวัยรุ่น-คนรุ่นใหม่ที่เติบโตในครอบครัวคนชั้นกลาง ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ คือ พลังที่สลบหลับใหลไปนานในทางการเมือง

กล่าวกันตรงไปตรงมา พลังทางการเมืองของคนรุ่นใหม่เปรียบเป็น “ยักษ์ที่หลับใหล” มาตั้งแต่ยุคหลังการเมืองเดือนตุลา เพราะกระทั่งในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ประชาชนที่ออกมาขับไล่ทหารกลับกรมกอง ก็ถูกมองเป็น “ม็อบมือถือ” “ม็อบคนชั้นกลางวัยทำงาน” มากกว่า “ม็อบหนุ่มสาว”

เมื่อสังคมไทยเคลื่อนเข้าสู่วิกฤตการเมืองปลายทศวรรษ 2540 ถึงตลอดทศวรรษ 2550 คนชั้นกลางวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่ในยุคสมัยนั้น ก็โอนอ่อนไปตามกระแสความคิดแบบอนุรักษนิยม-ปฏิปักษ์ประชาธิปไตย

พวกเขาและเธอกลายเป็นคนเสื้อเหลือง เป่านกหวีด เกลียดทักษิณและตระกูลชินวัตร เดียดฉันท์มวลชนคนเสื้อแดง และร่วมเรียกร้องหารัฐประหารอย่างภาคภูมิใจ

นั่นคือห้วงเวลาที่ “ยักษ์หลับ” ตนนี้ โลดแล่นโจนทะยานไปในความฝัน ที่กลายเป็น “ฝันร้าย” ของสังคมไทย

แต่แล้ว “ยักษ์คนรุ่นใหม่” ก็ถูกปลุกให้ตื่น เพราะการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารหลังการเลือกตั้ง 2562 เพราะการยุบพรรคอนาคตใหม่ และเพราะการพยายามยื้ออำนาจไว้ในมือตนเองถึงเกือบหนึ่งทศวรรษ ของผู้นำทหารซึ่งมิได้เป็นที่นิยมชมชอบของประชาชนคนส่วนใหญ่ในประเทศ

การฟื้นตื่นครั้งนี้ได้ผลักดันสังคมการเมืองไทยให้ขยับเขยื้อนไปไกล กระทั่งทะลุกรอบโครงความคิดดั้งเดิมที่คลุมครอบจินตนาการของผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่ามาหลายทศวรรษ

พลังของหนุ่มสาวที่ตื่นตัวทางการเมือง ยังถูกส่งมอบมาสู่พรรคก้าวไกล และสำแดงผลลัพธ์สำคัญผ่านการเลือกตั้งเมื่อเดือนก่อน

อาจารย์กนกรัตน์ เลิศชูสกุล

ถ้า “ยักษ์คนรุ่นใหม่” ถูกปลุกให้ตื่นตัวทางการเมืองในปี 2562

คำถามต่อเนื่อง คือ ณ ปี 2566 ยังมี “ยักษ์” ตนอื่นๆ ที่เข้าสู่ห้วงนิทรามาเนิ่นนาน ซึ่งกำลังลุกฟื้นขึ้นมาแสดงพลังอีกหรือไม่?

การทำข่าวสืบสวนสอบสวนอย่างเข้มข้นจริงจังเพื่อคัดง้างหลักฐานของ “นักร้อง” ในกรณีการครอบครอง “หุ้นไอทวี” ของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” โดย “ฐปณีย์ เอียดศรีไชย” พร้อมแรงสนับสนุนของ “ทีมข่าว 3 มิติ” และ “กิตติ สิงหาปัด” สมทบด้วยการขยี้ต่อของ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” (ที่ยืนหยัดอยู่ข้างเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนอย่างแข็งขัน หลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม)

คือ ระลอกคลื่นแห่งปรากฏการณ์ที่น่าจับตามอง

ร่วมสองทศวรรษที่ผ่านมา “สื่อมวลชนกระแสหลัก” ถือเป็นอีกหนึ่ง “ยักษ์หลับ” ในสังคมการเมืองที่เต็มไปด้วยสถานการณ์วุ่นวายไม่รู้จบ

สื่อกระแสหลักมักถูกประเมินว่าเป็นพวกลู่ตามลม เล่นตามเกม คาดการณ์ภาพใหญ่ไม่ค่อยถูกต้องแม่นยำ ฉลาดหลังเหตุการณ์ เข้าถึงวิธีคิดของชนชั้นนำระดับบนไม่ได้เหมือนก่อน และรู้จักประชาชนคนธรรมดาน้อยลงทุกที

สื่อจำนวนมากไม่กระตือรือร้นทางการเมือง ไม่คัดค้านขบวนการเคลื่อนไหวที่มีจุดยืนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างชัดแจ้ง ไม่ต่อต้านรัฐประหาร แถมยังยินยอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเหล่านั้นด้วยความเต็มใจ

ครั้นจะแสดงพลัง-ศักยภาพของตนเองออกมา สื่อบางส่วนก็กลับลงมือขุดเจาะข้อมูล-ทำข่าวสืบสวนสอบสวน ด้วยความระแวงที่มีต่อเสียงส่วนใหญ่จากการเลือกตั้ง และความไม่ไว้วางใจต่อระบอบประชาธิปไตย

ด้วยเหตุนี้ การเจาะประเด็นกรณี “หุ้นไอทีวี” ผ่านรายการ “ข่าว 3 มิติ” และทีมข่าวการเมืองช่อง 3 ในภาพรวม จึงมีความน่าสนใจ

เพราะมีแนวโน้มว่า “ยักษ์สื่อมวลชนกระแสหลัก” กำลังตื่นขึ้นจากภาวะหลับใหล

เป็นการลุกขึ้นหยัดยืน หลังจากเยาวชนคนรุ่นใหม่ตื่นตัวมาหลายปีแล้ว ส่วนคนชั้นกลางใน กทม. และตามพื้นที่เขตเมืองอันขยายตัวออกไปเรื่อยๆ ทั่วประเทศ ก็ตื่นแล้ว ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง

เมื่อ “ยักษ์” ตนอื่นๆ แสดงพลังกันแล้ว “ยักษ์สื่อมวลชน” จะหลงละเมอเพ้อพกไปกับ “ฝันร้ายเก่าๆ” อยู่ได้อย่างไร?

 

ถ้าการตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ ทำให้พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง

แล้วการตื่นขึ้นของสื่อกระแสหลัก จะส่งผลอย่างไรต่อสังคมการเมืองไทย?

เป็นไปได้ว่า “ยักษ์ที่เพิ่งตื่น” ตนนี้ อาจมีบทบาทสำคัญโดดเด่นในการตรวจสอบ-เปิดโปงขบวนการเคลื่อนไหวที่พยายามจะขัดขวางไม่ให้พิธาได้เป็นนายกฯ และไม่ให้เกิดรัฐบาลก้าวไกล

ในเวลาอันใกล้ สื่อบางสำนักอาจกลายเป็นแนวหน้าที่ท้าชนและกล้าตั้งคำถามกับองค์กรอิสระ กระบวนการยุติธรรม และอำนาจทุนต่างๆ ที่พวกเขาเห็นว่ากำลังล่วงละเมิดอำนาจประชาชน อย่างไร้บรรทัดฐานที่ถูกที่ควรในทางการเมือง •

 

 

ของดีมีอยู่ | ปราปต์ บุนปาน