ความสืบเนื่องอันไพศาลของ ‘ประชาชน’ | ปราปต์ บุนปาน

ถ้าถามว่า ผู้คนจำนวนมากในสังคมไทยมีสถานะอย่างไร? ในบทวิเคราะห์การเลือกตั้ง 2566 ที่ปรากฏตามสื่อแขนงต่างๆ และมุมมองทรรศนะของผู้รู้หลายท่าน

คำตอบ ก็คือ พวกเขา (พวกเรา) มักถูกมองเป็น “ประชากร” ที่ปรากฏในผลโพล และการคาดการณ์ผลคะแนนเลือกตั้ง

เป็น “ประชากร” กลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่นับจำนวนได้ แปรเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ แปรเป็นคะแนนเสียงได้

นี่คือจำนวนอันเป็นรูปธรรม ซึ่งนำไปสู่ข้อยุติของกระบวนการเลือกตั้งในสังคมประชาธิปไตยส่วนมาก ที่ยึดมั่นกับหลักการ “เสียงส่วนใหญ่”

อย่างไรก็ตาม “ระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ” กลับมีรูปธรรมอีกชุดหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคัดง้าง-ขัดขวาง รูปธรรมของจำนวน “ประชากร” ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเสมอ

ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมของกลไกอำนาจที่กำหนดให้ 250 ส.ว.แต่งตั้ง มีสิทธิ์ร่วมยกมือโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

รูปธรรมในการยุบพรรคการเมืองและตัดสิทธิ์นักการเมือง

รูปธรรมของกลวิธีการซื้อตัว “งูเห่า” ในสภา

รวมทั้งรูปธรรมของการรัฐประหาร ที่ไม่มีใครกล้ารับประกันว่า จะไม่เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย

 

แต่เอาเข้าจริง ผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลที่เป็นสมาชิกของสังคมการเมืองไทย ยังมีอีกหนึ่งสถานะที่สำคัญ นั่นคือการเป็น “ประชาชน”

“ประชาชน” ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยสูงสุด และมิได้เป็นจำนวนนับเหมือนกับ “ประชากร”

ในทางทฤษฎี “ประชาชน” ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ “ประชากร” ที่มีชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบัน แต่ยังรวมถึงคนรุ่นก่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว และพลเมืองที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นในอนาคต

“ความเป็นประชาชน” จึงสืบเนื่องและไม่เคยขาดห้วง เช่นเดียวกับอำนาจอธิปไตยอันเป็นของปวงชน

แม้คำอธิบายข้างต้นจะดูเป็นหลักการที่มีความเป็นนามธรรมอย่างสูงหรือเป็นอุดมคติที่ค่อนข้างเลื่อนลอย

ทว่า ในอีกด้าน ก็มีรูปธรรมของ “ประชาชน” ที่อุบัติขึ้นจริงๆ ท่ามกลางกระบวนการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง 2566

 

รูปธรรมแรก คือ ภาพการรวมตัวรวมกลุ่มของผู้คนธรรมดาสามัญจำนวนมากในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งเดินทางมาฟังการปราศรัยของพรรคการเมืองที่พวกตนนิยมชมชอบ โดยไม่ได้ถูกกะเกณฑ์-จัดตั้งมา

รูปธรรมเกี่ยวเนื่องที่ปรากฏขึ้น คือ สรรพเสียงของผู้คนเหล่านั้น ทั้งที่กรีดร้อง หัวเราะชอบใจ แสดงความยินดีปรีดา ต่อหน้านักการเมืองที่ตนเองชื่นชอบ และฝากความหวังเอาไว้

และเสียงโห่ ไม่พอใจ ที่ซัดสาดใส่นักการเมืองที่ตนเองไม่ชอบ หรือไม่เห็นด้วยกับจุดยืน หลักการ วิธีคิดของพวกเขา ตามเวทีดีเบตในพื้นที่สาธารณะต่างๆ

ไม่มีใครกล้านับหรอกว่า “ประชาชน” ในลักษณะนี้มีจำนวนเท่าไหร่ (ในยุคสมัยหนึ่ง สื่อมวลชนและหน่วยงานความมั่นคงเคยพยายามจะนับ แต่กลับได้จำนวนที่ไม่ต้องตรงกันสักครั้ง)

แต่ประเด็นที่หลายฝ่ายตระหนักตรงกัน ก็คือ นี่เป็นพลังทางการเมืองที่จะประมาทดูแคลนไม่ได้เด็ดขาด

กระทั่งบางคนนิยามว่า “ประชาชน” อันมากมายหน้าเวทีปราศรัย เปรียบเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ซึ่งจะคอยปกป้องคุ้มกันนักการเมือง/พรรคการเมือง ที่พวกเขาสนับสนุน ให้แคล้วคลาดจากภยันตรายในอนาคต

และหลายๆ คน รับรู้ได้ว่า “ประชาชน” อันมหาศาล กำลังออกมาแสดงตัวตนและส่งเสียงกู่ร้องว่าพวกเขาต้องการ “ความเปลี่ยนแปลง”

 

“ประชาชน” ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลและสืบเนื่องไม่ขาดตอน นั้นมีพลานุภาพเกินกว่าจะถูกสกัดกั้นขวางด้วยกลไกอำนาจประเภทต่างๆ ที่ใช้จัดการ-ตัดตอนคะแนนเสียงของ “ประชากร” ในคูหาเลือกตั้ง

จะเกิดรัฐประหารอีกกี่ครั้ง จะยุบพรรคการเมืองอีกกี่พรรค จะตัดสิทธิ์นักการเมืองอีกกี่คน จะซื้องูเห่าไปอีกกี่ฟาร์ม หรือต่อให้ ส.ว. จะไม่ยอมแตกแถวกันเลย อุปสรรคดังกล่าวก็ไม่สามารถทำลายพลังอำนาจของ “ประชาชน” ลงได้

นี่คือสัจธรรมซึ่งปรากฏชัดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยระยะใกล้ ช่วงเกือบๆ สองทศวรรษที่ผ่านมา

ดังข้อเท็จจริงที่ว่ารัฐประหาร 2549 และกระบวนการปฏิปักษ์ประชาธิปไตยต้นทศวรรษ 2550 (ตั้งแต่การยุบพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน และอีกหลายพรรคการเมือง ตลอดจนการปราบปรามเข่นฆ่าราษฎรกลางเมืองหลวง) นั้นทำลาย “ประชาชน” ไม่ได้ แต่กลับก่อให้เกิด “คนเสื้อแดง”

รัฐประหาร 2557 เรื่อยมาถึงการยุบพรรคอนาคตใหม่ ก็ทำลาย “ประชาชน” ไม่ได้ แต่กลับนำไปสู่ม็อบเยาวชน ซึ่งคลี่คลายมาเป็นผู้คนที่กำลังกระตือรือร้นทางการเมืองอย่างสูงในการเลือกตั้งรอบนี้

แม้จะมีกระบวนการต่างๆ นานา ที่จงใจขัดขวาง หยุดยั้ง เบี่ยงเบน คะแนนเสียงของ “ประชากร” ในหีบบัตรเลือกตั้ง เกิดขึ้นภายหลังวันที่ 14 พฤษภาคม 2566

อย่างไรก็ดี กระบวนการทั้งหมดย่อมไม่อาจจะขัดขวางกระแสธารอันต่อเนื่องและไพศาลของ “ประชาชน” เอาไว้ได้ •