ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 ตุลาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ของดีมีอยู่
ปราปต์ บุนปาน
ระยะหลังมานี้ คนเสียงดังๆ ในสังคมไทยพากันพูดถึงเรื่อง “ซอฟต์เพาเวอร์” บ่อยครั้งขึ้น
ในที่นี้จะขออนุญาตแปลคำว่า “ซอฟต์เพาเวอร์” เป็น “อำนาจโน้มนำ” ตามที่อาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ ทดลองบัญญัติเอาไว้ในเฟซบุ๊ก
“อำนาจโน้มนำ” ดังกล่าวก็คือ อำนาจที่สามารถเปลี่ยนใจผู้คน อำนาจที่สามารถปลูกฝังอุดมการณ์บางอย่างลงไปในความคิดของผู้คน โดยที่พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกบังคับขืนใจ
และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า “อำนาจโน้มนำ” เช่นนี้ จะทำงานได้ดีผ่านเครื่องมือทางด้านวัฒนธรรม
โดยส่วนใหญ่เวลาคนดัง-สื่อไทยแสดงความคิดเห็นในประเด็น “ซอฟต์เพาเวอร์” ก็มักจะต้องเชื่อมโยงไปถึงปรากฏการณ์เรื่องลิซ่า, เค-ป๊อป, เน็ตฟลิกซ์ หรือที่เชยหน่อย (จริงๆ คือ เชยมาก) แต่ยังชอบอ้างถึงกัน ก็ได้แก่ แดจังกึม
มีแนวโน้มว่า คนจำนวนหนึ่งในบ้านเรามักชอบคิดหรือตั้งโจทย์ไปไกลสุดกู่ว่า “ซอฟต์เพาเวอร์” จะโน้มนำให้อุตสาหกรรมวัฒนธรรม-ธุรกิจบันเทิงไทยไปประสบความสำเร็จบนเวทีระดับโลกได้อย่างไร
แต่เอาเข้าจริง ท่ามกลางเงื่อนไข-ข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่กีดขวางอุตสาหกรรมวัฒนธรรมของไทย จนไม่สามารถก้าวไปเติบใหญ่งอกงามในโลกภายนอกได้
ภายในสังคมไทยเอง กลับมีการใช้ “ซอฟต์เพาเวอร์” กันอย่างเข้มข้นเสมอมา
มีทั้งที่ปรากฏในรูปของ “อำนาจโน้มนำ” อันแนบเนียนตรงตามนิยาม และ “อำนาจดิบ” ที่ถูกห่อคลุมอย่างหยาบๆ ด้วยอาภรณ์ทางวัฒนธรรมหรือสื่อสมัยใหม่ช่องทางต่างๆ ซึ่งพยายามยัดเยียดความเชื่อใส่หัวประชาชนกันแบบโต้งๆ
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า “ซอฟต์เพาเวอร์” จะเป็นอาวุธที่ตกอยู่ในมือผู้ถือครองอำนาจรัฐเพียงฝ่ายเดียว
ในทางตรงกันข้าม ขณะที่ “อำนาจโน้มนำ” บนบริเวณส่วนยอดของพีระมิด แลดูมีศักยภาพลดน้อยถอยลง ณ ปัจจุบัน
“อำนาจ” ชนิดเดียวกันกลับผุดขึ้นจากเบื้องล่าง อย่างเด่นชัด หลากหลาย และมากมายขึ้น
ตัวอย่างที่ดีที่สุด คือ การต่อสู้ผ่านความทรงจำเรื่อง “6 ตุลาคม 2519”
หลายฝ่ายอาจมองว่ากิจกรรมรำลึก 6 ตุลา เมื่อปี 2563 ซึ่งอุบัติขึ้นสอดคล้องกับความร้อนแรงของม็อบคนรุ่นใหม่ นั้นมีกระแสแรงกว่ากิจกรรมในปี 2564 ที่ถูกคุมเข้มโดยอำนาจรัฐ และมีอุปสรรคเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด
แต่หากมองลึกลงไปในเชิงคุณภาพ กลับมีแรงกระเพื่อมบางประการที่ก่อตัวขึ้นอย่างน่าสนใจ ณ เดือนตุลาคมปีนี้
เช่น นี่คือปีแรกสุด ซึ่งมีศิลปินเพลงป๊อปชื่อดังรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยพร้อมใจกันออกมาทำเพลงรำลึกโศกนาฏกรรม 6 ตุลา ผ่านโครงการ “5 ตุลาฯ ตะวันจะมาเมื่อฟ้าสาง”
นี่คือกระแสธารทางวัฒนธรรมอันต่อเนื่องเชื่อมโยง ซึ่งอาจมีจุดเริ่มต้นตรงปรากฏการณ์ “ประเทศกูมี” เมื่อไม่กี่ปีก่อน
จนดูคล้ายกับว่า “ความทรงจำบาดแผล” กรณี 6 ตุลา ได้ถูกส่งมอบจากคนรุ่นก่อนมายังคนรุ่นใหม่ในวงกว้าง อย่างยากจะระงับตัดทอน
ในเชิงภาพยนตร์ ระยะหลังมีการผลิตหนังสารคดีว่าด้วย 6 ตุลา อย่างต่อเนื่อง ด้วยเนื้อหาที่ลงลึกจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ และคุณภาพงานที่สูงขึ้นตามลำดับ
ไม่รวมถึงการดำรงอยู่ของ 6 ตุลา ในภาพยนตร์สั้นรุ่นใหม่ๆ อีกจำนวนหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ ถ้าใครจดบันทึกรายชื่อภาพยนตร์ไทยที่มีการอ้างอิงถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เอาไว้ ก็จะพบสถิติน่าสนใจว่าจำนวนของหนังกลุ่มนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี
เมื่อผนวกรวมกับผลงานทางวัฒนธรรมแขนงอื่นๆ เช่น การจัดทำ “กล่องฟ้าสาง” เพื่อรำลึกภาวะของสังคมการเมืองไทยก่อน 6 ตุลา ซึ่งได้รับการกล่าวถึงกันมากในเดือนตุลาคมปีนี้
“ซอฟต์เพาเวอร์” ว่าด้วยความทรงจำ 6 ตุลา จึงซึมลึกและแพร่ขยายไปไกลเหลือเกินในสังคมร่วมสมัย
“6 ตุลา” ณ พ.ศ.นี้ มิได้แฝงตัวอยู่แค่ในหนังสือที่มีผู้อ่านจำนวนหยิบมือ (ทว่าปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ก็นิยมอ่านหนังสือประเภทนี้กันมากขึ้น), ในวงประชุมสัมมนาทางวิชาการ หรือในชั้นเรียนของภาควิชาซึ่งจวนจะถูกยุบทิ้ง ที่มีนักศึกษาลงทะเบียนเพียงน้อยนิด อีกต่อไป
ความเปลี่ยนแปลงข้างต้นทำให้นึกถึงสิ่งที่อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล เขียนเอาไว้ในเนื้อหาส่วนท้ายสุดของหนังสือ “Moments of Silence: The Unforgetting of the October 6, 1976, Massacre in Bangkok” ความว่า
“ประวัติศาสตร์ยังคงอยู่กับเรา อย่างโหดร้ายเท่าที่มันจะโหดร้ายได้ ประวัติศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของพวกเราทุกคนในทุกวันนี้ เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านมาถึงปัจจุบัน กระทั่งความทรงจำที่กระจัดกระจายและกลายเป็นดังภาพฝันจินตนาการว่าด้วยเหตุสังหารหมู่ครั้งนั้น ก็มิได้ดำรงอยู่แต่เพียงในหนังสือ ภาพยนตร์ และงานรำลึกเหตุการณ์
“ทว่ายังดำรงอยู่ในตัวตนของพวกเราด้วย”