ฐากูร บุนปาน | ความขัดแย้งลงไปถึง “ราก” ที่ทั้งลึกและทั้งกว้าง

ขณะที่เริ่มนั่งหน้าจอเขียนต้นฉบับชิ้นนี้

ผู้ชุมนุมทางการเมืองในนามคณะราษฎรเริ่มเคลื่อนตัวออกจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อจะไปปักหลักชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล

การชุมนุมจะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน

จะเป็นไปอย่างราบรื่น หรือจะเกิดเหตุอื่นแทรกซ้อนเข้ามาหรือไม่

เป็นเรื่องที่ยังคาดเดาไม่ได้

เมื่อ “สันนิษฐาน” ด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้

ก็ขออาศัยเครื่องมืออื่นเข้ามาประกอบการพิจารณา

ในที่นี้คือการเคลื่อนที่ของดวงดาวบนฟ้า ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจหลายประการด้วยกัน

เพราะตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา อาทิตย์ (ดาวผู้นำผู้ปกครอง) ย้ายราศีเข้าราศีตุล

ที่เป็นทั้งราศีทวาร (ลองไปหาแผ่นดวงมาดูประกอบนะครับ ราศีทวารคือราศีที่อยู่ช่องตรงกากบาทของแผ่นดวงทั้ง 4 ทิศ อันได้แก่ ราศีเมษ ราศีกรกฎ ราศีตุล และราศีมังกร เรียกว่า “ราศีแม่ธาตุ” เพราะทั้งเล็งและตั้งฉากกัน ถือเป็นราศีที่มีกำลังแรงหรือเคลื่อนไหวรวดเร็ว ให้คุณและให้โทษรุนแรง)

และเป็น “นิจ” คืออ่อนกำลังที่สุด เพราะคนผูกดวงเมืองสมัยโบราณท่านวางอาทิตย์เป็น “อุจจ์” คือให้แข็งแรงสุดๆ ในราศีเมษ

พอย้ายมาอยู่ภพตรงข้ามกัน ผลที่ออกมาก็ตรงข้ามกัน

เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พฤหัสฯ (ที่ถือดาวหัวหน้าอำมาตย์) กับเสาร์ (ดาวตัวแทนประชาชน) นัวเนียพัวพันกันอยู่ในราศีมังกร ที่ตั้งฉากกับราศีเมษ ซึ่งเป็นลัคนาของดวงเมือง

ที่สำคัญคือพฤหัสฯ ในราศีมังกรนั้นก็เป็นนิจ คืออ่อนแรงเหมือนกัน

ขณะที่เสาร์เป็นเกษตร คือเบ่งบานงอกงาม มีกำลังแข็งแรง

และเวลาเดียวกันอีก อังคาร (ดาวทหารหรือความรุนแรง) ก็ “พักร” หรือถอยหลังกลับมาเข้าราศีเมษ ที่มีราหูและมฤตยู สองดาวบาปเคราะห์นั่งรออยู่แล้ว

จะนำไปสู่อะไรนั่นน่าหวั่นใจอยู่

ถึงมีพุทธวจนะว่า

“ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ ดาวทั้งหลายจะทำอะไรได้”

แต่เมื่อพิจารณาในแง่ “สถิติ” ที่โหราจารย์ (ตัวจริง) ทั้งหลายท่านเก็บรวบรวมเอาไว้ในอดีต

จะมองข้ามไปเสียเฉยๆ ก็ไม่ได้

เพราะตำแหน่งดาวใหญ่ที่มีผล (ทางลบ) ต่อดวงเมืองเช่นนี้ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

แต่จะโดยบังเอิญหรือไม่ก็ตาม ตำแหน่งดาวที่ว่านี้มาพ้องพานกับเหตุการณ์ใหญ่ทางการเมืองการปกครองอย่างน้อยสองครั้งในรอบ 238 ปีที่ผ่านมา

ขนาดยังไม่ถึงวันชุมนุม ยังมีแนวโน้มของความโกลาหลและการใช้กำลัง

ทั้งอุ้มไผ่ ดาวดิน แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ และแกนนำการชุมนุมบางส่วนไปแล้วตั้งแต่ก่อนวันชุมนุมจริง

ยังไม่นับ “ม็อบจัดตั้ง” ที่แสดงท่าทีว่าพร้อมจะ “หาเรื่อง” ให้เป็นเรื่องในวันถัดมา

จนชักเริ่มไม่แน่ใจว่า ถ้าถึงขนาด “เชิด” ให้คนออกมาตีกันได้

จะมีอะไรไม่คาดหมายเกิดขึ้นอีก

แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีเลย

ไม่ใช่แค่เพราะไม่อยากเห็นสภาพเลือดตกยางออกของพี่น้องคนไทยด้วยกัน ไม่ว่าฝ่ายไหนเท่านั้น

แต่ถ้าเชื่อดวงดาวว่า ถ้ามี หนนี้จะลามใหญ่ ยังไม่รู้ว่าจะไปจบกันตรงไหน

ยิ่งไม่ควร “เสี่ยง” ทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด

เวลาเกิดอภิมหาโกลาหล ใครจำหน้าใครได้เสียที่ไหน

อันที่จริง นาทีนี้ไม่ต้องมีดวงดาวมาบอก ท่านที่มีสติสัมปชัญญะทั้งหลายก็ให้รู้สึกพรึงพรั่นครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ก่อนแล้ว

เพราะการปะทะขัดแย้งระหว่างคนต่างรุ่นต่างอุดมการณ์ครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง

แต่ขัดกันลงไปถึง “ราก” ที่ทั้งลึกและทั้งกว้าง

จนกระทั่งอาจจะไม่มีใครยอมใคร โดยเฉพาะฝ่ายที่ถือครองอำนาจและผลประโยชน์อยู่

เนื่องจากเดิมพันนั้นใหญ่หลวงนัก

ใหญ่จนกระทั่งอาจจะทำให้การตัดสินใจใดๆ ก็แล้วแต่ ไม่เป็นไปตามเหตุตามผลอันควร

ซึ่งไม่รู้ว่าจะนำไปสู่ผลต่อเนื่องอะไรตามมา

รู้แต่ว่าเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าแล้วละเมอไปเองว่าเห็นราหูกับมฤตยูหัวร่อปากกว้าง

เหมือนจะสะใจอะไรสักอย่าง