ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 กันยายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ท่านผู้มีส่วนกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ขึ้นเวทีสาธารณะและแสดงความเห็นในเรื่องเศรษฐกิจที่ติดหูติดใจอย่างน้อยสองข้อด้วยกัน
เมื่อติดค้างอยู่แล้วจะไม่พูดถึงก็ไม่ได้
เรื่องแรก ท่านแรกระบุว่า เศรษฐกิจไทยวันนี้ยังไม่ถึงขั้นมะเร็ง แค่เป็นไข้อ่อนๆ กินยาเสียก็หาย
ฟังแล้วแทบสะดุ้งตกเก้าอี้
เพราะตกลงไม่รู้ว่าท่านอยู่โลกใบเดียวกันหรือไม่ หรือว่าไปพบปะพูดคุยกับมนุษย์ดาวพลูโตที่ไหนมา
ก็รัฐบาลเองหรือมิใช่ที่เทกระจาด-เหวี่ยงแหเงิน 300,000 กว่าล้านบาทไปหมาดๆ
แล้วจะมาบอกว่าเศรษฐกิจเป็นไข้อ่อนๆ
ถ้าเป็นหมอรักษาไข้ ก็ต้องสันนิษฐานเอาไว้ก่อนว่า คุณหมอท่าจะวินิจฉัยโรคผิดเสียแล้วกระมัง
พอชักไม่เชื่อใจหมอ ก็พาลนึกไปว่า แล้วยาที่คุณหมอจ่ายมานั้นตรงกับอาการป่วยที่เป็นอยู่หรือไม่
ร้ายกว่านั้นก็คือ สงสัยว่าคุณหมอจ่ายยาให้ถูกคนหรือไม่
เพราะท่านพูดเต็มปากเต็มคำว่า โรคาพยาธิสังคมหนนี้ที่มีอาการป่วยหนักสุดก็คือรากหญ้าทั้งหลาย
อันนั้นไม่เถียง
แต่ถ้าลงจากหอคอยงาช้างมาเดินดินจริงๆ ท่านอาจจะได้ยินได้เห็นว่า ที่หนักหนาพอกันหรือยิ่งกว่ารากหญ้าทั้งหลายงวดนี้ก็คือธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมทั้งหลาย
พวกซัพพลายเชน ที่เดี๋ยวนี้ซัพพลายจากการส่งออกเป็นศูนย์
พ่อค้าแม่ค้าที่ตกรถไฟสายดิจิตอล
หรือผู้รับเหมาขนาดเล็กขนาดกลางที่งานหดหมดตัวกันเป็นแถว
ฯลฯ
กลุ่มตรงกลางที่เคยเป็นเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ฟันวันนี้เฟืองหัก แต่ช่างซ่อมบำรุงบอกว่าแค่หยอดน้ำมันเครื่องก็เดินต่อได้
เจออย่างนี้เข้าให้ มีคำถามคำเดียวสั้นๆ ว่า
ถ้าคนไข้ไม่เชื่อใจหมอ
มีสิทธิ์ขอเปลี่ยนหมอได้ไหมครับ
เรื่องที่สอง ท่านที่สองใหญ่กว่าท่านแรกขึ้นมาอีก ประกาศด้วยความภูมิใจว่าเมืองไทยนั้นหนอเป็น Save Haven ของนักลงทุนจากทั่วโลก
เพราะฉะนี้แล เงินบาทถึงได้แข็งค่าขึ้นมา
เพียงแต่ท่านไม่ยักบอกด้วยว่า เงินที่ไหลมาเทมาเข้ามานั้น ไม่ได้มาลงทุนที่จะสร้างงานหรือสร้างรายได้เพิ่มให้สังคมไทย
แต่เป็นเงินที่มา “เก็งกำไร” จากหุ้นจากพันธบัตรเป็นหลัก
ไหลเข้ามาแล้ว พอเงินบาทแข็งก็ไหลออกไป เงินอ่อนลงก็กลับเข้ามาใหม่
กำไรสองต่อสามต่อเห็นๆ
และท่านไม่ได้บอกด้วยว่า ไอ้ “ค่าเงินบาทแข็ง” นี่แหละที่เป็นหนึ่งในปัจจัยของอาการป่วยไข้ทางเศรษฐกิจไทยทุกวันนี้
ประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวมากกว่าร้อยละ 70 ของจีดีพี
ผ่าดีใจหรือไม่ทำอะไรกับค่าเงินที่แข็งเกินจริง
ไม่ปวดกบาลวันนี้แล้วจะไปกลุ้มใจวันไหน
อันที่จริงก็เชื่อว่าท่านทั้งหลายก็คงพอจะรู้ๆ กันอยู่ว่า เงินบาทแข็งนั้นเป็นปัญา
ไม่งั้นคงไม่ตั้งกรรมกงกรรมการอะไรมาร่วมหารือนโยบายการเงินกับแบงก์ชาติ
แต่จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่เห็นมีมรรคผลอะไรออกมา
อย่ากระนั้นเลย ขอถือโอกาสจำขี้ปากผู้รู้มาช่วยเสนอหนทางลดค่าเงินบาทให้แข็งลงบ้าง
เดี๋ยวจะหาว่าดีแต่ติ ไม่เสนอทางออกหรือความเห็นอะไร
ถามว่า ค่าเงินบาทแข็งเพราะอะไร ตอบว่า เพราะเงินต่างประเทศไหลทะลักเข้ามา
ทางแก้ตรงๆ ง่ายๆ ก็คือ เอาเงินที่ทะลักเข้ามานั้นไปลงทุนในต่างประเทศกลับคืนเสีย
ไม่ใช่ลงทุนแบบแบงก์ชาติที่ไปซื้อพันธบัตรสหรัฐ ผลตอบแทนไม่ถึงครึ่งเปอร์เซ็นต์
แต่ลงทุนแบบ “มืออาชีพ” จ้างผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญมาบริหาร เป็นการลงทุนของรัฐ ลงทุนระดับประเทศที่ฝรั่งเรียกว่า Sovereign Fund อย่างที่สิงคโปร์มี GIC ที่ตระเวนลงทุนไปทั่วโลกนั่นปะไร
ลงทุนในกิจการดีๆ ผลตอบแทนดีๆ ถึงเวลาอยากใช้เงินก็ขายไปบ้าง ย้ายไปลงทุนอย่างอื่นบ้าง
ก็เห็นเขารวยเอาๆ
ส่วนปู่โสมของเราก็เฝ้าทรัพย์ผุผุไป
อ้อ-แล้วอย่าปล่อยให้เอกชนขนเงินออกเสรี ที่เป็นอยู่เท่านี้ก็พอแล้ว
ขืนเปิดเสรีจริง เดี๋ยวจะตกใจ
ว่าเงินทำไมไหลออกเหมือนคนท้องเสีย
ให้เงินออกได้เสรีจริงๆ
เผลอๆ บาทจะร่วงไป 100 บาท/ดอลลาร์ อย่าหาว่าทำเป็นเล่นไป
ทำไมเงินถึงจะไหลหรือร่วงขนาดนั้น
อันนี้ต้องตอบกันเป็นส่วนตัวละครับ