เชิงบันไดทำเนียบ : ‘คสช.’ งานงอก ‘ปู’ หายไปไหน ใครพาไป ?

“เมื่อเช้ายังนึกดีใจอยู่ ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นคนกล้าหาญ มารับการพิจารณา แต่ต่อมาได้รับการแจ้งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มา เพราะป่วยปัญหาน้ำในหู”

.
‘บิ๊กตู่’พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวเชื่อมั่น ‘ยิ่งลักษณ์’ จะเดินทางมาฟังคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าว แม้สุดท้ายแล้ว ‘ยิ่งลักษณ์’ จะไม่ได้เดินทางมาก็ตาม ด้วยเหตุผลมีอาการป่วยน้ำในหูไม่เท่ากัน เวียนศีรษะ


ซึ่งศาลพิจารณาแล้วว่า ไม่น่าเชื่อถือ เพราะไม่มีใบรับรองแพทย์ มีพฤติการหลบหนี จึงออกหมายจับ และริบเงินประกัน 30 ล้านบาท พร้อมเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาเป็น 27ก.ย.นี้
.

เป็นความเคลื่อนไหวที่ ‘หักปากกาเซียน’ ไม่น้อย เพราะต่างเชื่อกันว่า ‘ยิ่งลักษณ์’ จะเดินทางมาศาล ซึ่งนายกฯก็เชื่อเช่นนั้นจากการให้สัมภาษณ์สื่อ ถึงกับชมว่า ‘กล้าหาญ’

.
แต่นายกฯก็ถูกโยงถึงด้วยในฐานะผู้บริหารประเทศ และต้องบังคับใช้กฎหมายในการติดตามตัว ‘ยิ่งลักษณ์’ หลังศาลออกหมายจับ
.
“ผมสั่งขบวนการยุติธรรมได้หรือไม่ เขาทำตามกฏหมายหรือเปล่าล่ะ ผมทำได้แต่เพียงว่า กำชับฝ่ายความมั่นคงให้ดู แล้วป่วยจริงหรือเปล่า อยู่ที่ไหน กำชับเส้นทางเข้าออก ทั้งช่องทางปกติและไม่ปกติ ซึ่งต้องดูตรงนั้น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
.
แต่ก็มีข่าวว่า ‘ยิ่งลักษณ์’ หลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่คืน 23ส.ค.โดยได้ออกผ่านชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนบินไปสิงคโปร์เพื่อต่อเครื่องไปดูไบ ซึ่งเส้นทางการหลบหนีนี้ ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันชัดว่าเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน
.
อีกทั้งวันที่หลบหนีก็ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นช่วงเวลาใดตั้งแต่ค่ำวันที่ 23 ส.ค. ถึงช่วงก่อนตี 5 ของวันที่ 25 ส.ค. เพราะเป็นช่วงเวลาที่หลายคนต่างพูดตรงกันไม่ได้คุยหรือพบ ‘ยิ่งลักษณ์’ อีก

เส้นทางหลบหนีที่ว่าไปกัมพูชา มีทั้งผ่าน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว หรือ ทางภาคตะวันออก จ.ตราด มีทั้งผ่านทางบกและทางทะเล โดย พล.อ.ประวิตร ได้ออกมาเปิดเผยว่ามีกระแสข่าวว่าหลบหนีผ่านทางเกาะช้าง ซึ่งหน่วยที่รับผิดชอบคือ กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด กองทัพเรือ ต้องเคลียร์ปมร้อนนี้

“ยังไม่ได้รับรายงานอย่างชัดเจน เขาเป็นอดีตนายกฯ ก็อย่างว่า เจ้าหน้าที่จึงอาจจะมีคนเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ” พล.อ.ประวิตร กล่าว

จุดนี้เองจึงเป็นแรงกระเพื้อม ถ้า ‘ยิ่งลักษณ์’ หนีออกนอกประเทศจริง ใครเป็นผู้นำ’ยิ่งลักษณ์’ออกไป และออกไปได้อย่างไร ซึ่งสำคัญกว่าหนีไปไหน
.
อีกทั้งมีกระเเสว่า ‘ยิ่งลักษณ์’ จะโฟนอินมายังไทย พร้อม ‘ทักษิณ’ อีกด้วย หนทางต่อจากนี้ไป ต้องดูกันว่าจะซ้ำรอย ‘พี่ชาย’ หรือไม่ นับจากชนะเลือกตั้งจนถูกรัฐประหาร จนมาถึงมีกระแสข่าวหลบหนีไปต่างประเทศ
.
สิ่งที่ต้องจับตาต่อ คือ ‘ยิ่งลักษณ์’ จะมีแนวทางต่อสู้ต่างแดนอย่างไร การปรากฏตัวครั้งแรกอีกครั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และจะไปเกิดขึ้นที่ใด กระบวนการ-วาทะต่อจากนี้ จึงน่าติดตามอย่างยิ่ง ระยะเวลาที่จะปรากฏตัวก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อใด แต่อย่างช้าที่สุดจะเป็นช่วงก่อนทัพพรรคเพื่อไทยลงเลือกตั้ง เพื่อปลุกขวัญกำลังใจลูกพรรคและฐานเสียง

(FILES) This file photo taken on August 5, 2016 shows former prime minister Yingluck Shinawatra struggling to hear a question from the media as she arrives at the Constitutional Court in Bangkok on August 5, 2016.
Thai ex-prime minister Yingluck Shinawatra missed a verdict in a negligence trial on August 25, 2017 that could have seen her jailed, prompting the Supreme Court to issue an arrest warrant fearing she is a flight risk, a judge said. / AFP PHOTO / LILLIAN SUWANRUMPHA

การไปสู้ในต่างแดน ก็ยังไม่มีข้อมูลชี้ชัดว่า ‘ยิ่งลักษณ์’ มีจุดหมายปลายทางที่ประเทศใด ซึ่งที่เชื่อกันว่าทั้งประเทศสิงคโปร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นครดูไบ อาจยังไม่ใช่ปลายทางที่แท้จริงก็ตาม ซึ่งมีรายงานว่าจะหลบหนีไปยังประเทศในแถบยุโรป
.

ฝ่ายความมั่นคงต้องตอบว่า’หนีไปได้อย่างไร’ และ ‘ใครพาหนี’ ให้ได้ ไม่เช่นนั้น ‘คสช.’ จะถูกปรามาสไปอีกนาน เป็นเผือกร้อน-ดิสเครดิตไปอีกนานด้วย

.
แต่การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มาในช่วงโค้งสุดท้ายของโรดแมปคสช.ที่จะมีการเลือกตั้งปลายปี2561 หรือต้นปี2562 เป็นห้วงสำคัญในเวลา ‘ลงหลังเสือ’ ของคสช. แม้นายกฯจะยืนยันไม่เคยขึ้นหลังเสือก็ตาม

“ผมไม่ขึ้นหรอกหลังเสือ ผมเดินด้วยสองเท้าของผมนี่แหละ โดยมีประชาชนเดินเคียงข้างกับผม มันก็จะเดินหน้าไปได้ด้วยดี” นายกฯกล่าว

หลังมีการมองว่าการจัดทำโผทหารครั้งนี้ เป็นฉบับ ‘ลงหลังเสือ’ ของนายกฯ เพื่อปูทางคุมสถานการณ์ต่างๆ หรือหาก ‘บิ๊กตู่’ ถูกเชิญเป็น ‘นายกฯคนนอก’ จะมีกองทัพที่คอยหนุนหลังในเวลานั้น
.
“ผมไม่จำเป็นให้ใครมาปกป้องผมหรอก คุณก็คิดกันแบบนี้ ใครที่มีอำนาจ ใครที่เป็นรัฐบาล ต้องทำความดีไว้ปกป้องตัวเอง ไม่ใช่สร้างคนมาปกป้องตัวเอง หรือไปตั้งคนมาปกป้องตัวเอง มันปกป้องไม่ได้” นายกฯ กล่าว
.
แม้นายกฯจะเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ก่อนลงหลังเสือก็ต้องฆ่าเสือก่อน แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป การไม่ขึ้นหลังเสือเลย อาจเป็นสิ่งที่ปลอดภัยกว่า
.
“ผมไม่ได้คิดว่าขึ้นหลังเสือ ผมเป็นคนธรรมดาเข้ามาเดินหน้าประเทศไทย ปฏิรูปเพื่อการเปลี่ยนผ่านผลิกฟื้นแผ่นดิน ให้มีศักยภาพ มันเป็นความท้าทาย ไม่ใช่ขึ้นหลังเสือ แล้วผมจะขึ้นไปทำไมหลังเสือ คนเลี้ยงเสือยังตายไปเยอะ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

อีกทั้งเป็นสัปดาห์ที่ประตู ‘บ้านสี่เสาเทเวศร์’ เปิด ความเคลื่อนไหวย่อมปรากฏ หลัง’ป๋าเปรม’พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ปธ.องคมนตรีและรัฐบุรุษ ย้ำถึงมิตรภาพระหว่าง “พวกเรา” ในที่นั้น คือ นายกฯตู่ ‘บิ๊กป้อม’พล.อ.ประวิตร ครม. และ ผบ.เหล่าทัพ พร้อมส่งสัญญาณเชิง “งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา” ออกมา
.
“ขอขอบใจทุกคนที่นึกถึงเรา ความเป็นมิตรก็ยังอยู่อย่างเดิม แม้ว่าตนจะช่วยนายกฯ และพวกเราไม่ได้มากนัก นอกจากนั้นนานๆจะคุยกันที ให้กำลังใจกัน” พล.อ.เปรม กล่าว
.
“ขอบใจที่นายกฯตู่ ป้อม รวมถึงผบ.เหล่าทัพทั้งเก่าทั้งใหม่ เราก็จะจำวันนี้ไว้ว่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ความเป็นมิตรจะยั่งยืนตลอดไป ไม่ว่าเราจะจนลง รวยขึ้น หรือไม่ได้ทำหน้าที่แล้ว” พล.อ.เปรม กล่าว

“มีความระลึกถึงอยู่เสมอ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ตามว่ารัฐบาลของนายกฯตู่ ไปช่วยคนไทยให้มีความสุขมากขึ้น” พล.อ.เปรม กล่าว
.
พร้อมทั้งฝากให้ ‘บิ๊กป้อม’ และ ‘บิ๊กป้อก’พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เป็นพี่ที่ดูแล ‘บิ๊กตู่’ ในฐานะ “3ป.บูรพาพยัคฆ์” ด้วย
.
“พี่ป้อม และ พี่ป๊อก แม้ว่าจะติดภารกิจไม่ได้มา เป็นผู้คอยดูแลน้องตู่ เพื่อให้การทำงานทุกอย่างเรียบร้อย” พล.อ.เปรม กล่าว
.
ทั้งหมดนี้จึงเกิดการตีความ ว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จะใกล้ถึงเวลาลงจากอำนาจหรือทุกอย่างเป็นไปตามโรดแมปแน่นอน อีกทั้งตีความไปว่าสุดท้ายแล้ว ‘บิ๊กตู่’ จะไม่ขอเป็น ‘นายกฯคนนอก’ ตามที่คาดการณ์ไว้ หรือเป็นสัญญาณสะกิดเตือนนายกฯ ไม่ควรอยู่ยาวหรือควรพอจากตำแหน่ง ‘นายกฯ’ หลังเลือกตั้งไปแล้ว
.
ตั้งแต่โผทหาร “ฉบับลงหลังเสือ” จนถึงคำกล่าวของ ‘ป๋าเปรม’ ย้ำถึงความเป็นมิตรตลอดไป แม้จะช่วยได้ไม่มาก และ’บิ๊กตู่’ไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ตามนั้น
.
เท่ากับว่าการเปิดบ้านสี่เสาฯครั้งนี้ จึงเป็นจุดเริ่มนับเวลาโรดแมปคสช. โค้งสุดท้าย อย่างเป็นทางการก็ว่าได้ และชี้สัญญาณอนาคตการเมืองได้พอสมควร ว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
.
เรา “4ป.” ณ บ้านสี่เสาฯ จะเป็นมิตรกันตลอดไป