ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กรกฎาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | มุมมุสลิม |
ผู้เขียน | จรัญ มะลูลีม |
เผยแพร่ |
ซาอุดีอาระเบียและพันธมิตร
กับการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์
การตัดสินใจตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์ของซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน อียิปต์ เยเมน และมัลดีฟส์ นับเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับโลกมุสลิมและประชาคมโลกโดยทั่วไป
การตัดความสัมพันธ์เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน (2017) กับกาตาร์อาจส่งผลกระทบที่จะตามมาในทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจได้
ความตึงเครียดก่อตัวขึ้นภายในสมาชิกสภาความร่วมมือแห่งอ่าวเปอร์เซีย (Gulf Cooperation Council) มาเป็นเวลา 6 ปีแล้วนับตั้งแต่กาตาร์ได้เริ่มสนับสนุนขบวนการภราดรภาพมุสลิม (Muslim Brotherhood) อันเป็นขบวนการอิสลามการเมือง (Political Islamist movement) ซึ่งซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรที่ใกล้ชิดมองว่าเป็นขบวนการที่คุกคามเสถียรภาพของประเทศต่างๆ อยู่ในเอเชียตะวันตก
ในปี 2014 ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์และบาห์เรนเคยนำเอานักการทูตของพวกเขากลับจากาตาร์ด้วยข้อกล่าวหาเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม การยกเลิกความสัมพันธ์ทางการทูต และการเดินทางทางอากาศ ทะเล ไปหรือกลับจากกาตาร์นั้นไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน
ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรนได้ขอให้นักการทูตของกาตาร์ออกจากประเทศของตนภายใน 48 ชั่วโมงและชาวกาตาร์ภายใน 14 วัน
ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียอ้างว่ากาตาร์ให้ที่พักพิงแก่ผู้ก่อการร้ายและกลุ่มสำนักคิดหลายกลุ่มด้วย จุดมุ่งหมายที่จะสร้างความไร้เสถียรภาพในภูมิภาค
แต่ในความเป็นจริงข้อกล่าวหาดังกล่าวอาจจะนำมาใช้ได้กับประเทศแถบอ่าวเปอร์เซียเสียมากกว่า
เป็นความลับที่เปิดเผยมาตลอดว่าซาอุดีอาระเบียและกาตาร์ล้วนเป็นประเทศที่สนับสนุนกลุ่มที่เป็นกลุ่มตัวแทนของตนทั่วตะวันออกกลาง
ขอยกเอากรณีการสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในซีเรียมาเป็นตัวอย่าง ทั้งนี้ จะพบว่าซาอุดีอาระเบียให้การสนับสนุนกลุ่มสะลาฟี (Salafi) อย่างเช่น กลุ่มอะห์ร็อร อัช-ชาม ในขณะที่กาตาร์ให้การสนับสนุนขบวนการภราดรภาพมุสลิม
ทั้งสองประเทศมีจุดหมายร่วมกันคือการโค่นล้มรัฐบาลของ บาชัรอัล-อะสัด ในซีเรีย ส่วนในเยเมน กาตาร์ก็เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังผสมที่นำโดยซาอุดีอาระเบียและร่วมกันถล่มเยเมนมามากกว่า 2 ปี
จนถึงปัจจุบันยังไม่เป็นที่กระจ่างชัดว่าอะไรเป็นพลังขับเคลื่อนให้ซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรนำเอามาตรการที่แข็งกร้าวมาใช้กับกาตาร์
มาตรการดังกล่าวถูกทำให้เข้มแข็งขึ้นโดยทรัมป์ ซึ่งแสดงการต่อต้านอิหร่านให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียสามารถใช้ความพยายามอีกครั้งที่จะรวมประเทศซุนนีเข้าด้วยกัน โดยซาอุดีอาระเบียจะเป็นผู้นำในการต่อต้านสิ่งที่เขาเรียกมันว่าการก่อการร้ายดังกล่าว
ในอดีตที่ผ่านมาพบว่ากาตาร์เป็นมิตรกับทั้งอิหร่านและซาอุดีอาระเบียที่ต่อมากลายมาเป็นศัตรูกันอันเนื่องมาจากความขัดแย้งในการสนับสนุนคนละฝ่ายในสงครามตะวันออกกลางโดยเฉพาะในเยเมน
แม้ว่ากาตาร์จะร่วมแสดงออกถึงการต่อต้านอิหร่านเป็นครั้งคราวแต่กาตาร์ก็ดำรงความสัมพันธ์ทางการทูตและทางเศรษฐกิจกับอิหร่านมาอย่างต่อเนื่อง
ผู้นำกาตาร์ ชัยค์ ตามีม บินฮามัด อัษ-ษานี ซึ่งสนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดี ฮัซซัน โรฮานี มาก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งกับซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรได้ไม่นาน เป็นผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความพยายามของซาอุดีอาระเบียที่ขับเคลื่อนด้วยการต่อต้านอิหร่าน
อย่างไรก็ตาม หากกาตาร์หลุดออกไปจากเส้นทางของสภาความร่วมมือแห่งอ่าวเปอร์เซียภูมิภาคนี้ก็อาจขยายวิกฤตเพิ่มมากขึ้นก็ได้
กาตาร์เป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญของอ่าวเปอร์เซียและเป็นสำนักงานใหญ่ของกองบัญชาการกลางของสหรัฐ การบัญชาการทางอากาศที่สหรัฐเป็นผู้นำต่อต้านไอเอสในอิรักและซีเรียก็อยู่ในกาตาร์เช่นกัน
ดังนั้น การขยายความพยายามที่จะโดดเดี่ยวกาตาร์ก็อาจส่งผลที่จะตามมาทางเศรษฐกิจได้ เช่น ราคาน้ำมันที่ขึ้นลงทันทีหลังจากการตัดสินใจนี้ได้ถูกประกาศออกไป นอกจากนี้ มันยังจะทำให้การต่อสู้กับไอเอสมีความสับสนอีกด้วย
สิ่งที่เป็นความจำเป็นสำหรับตะวันออกกลางหรือเอเชียตะวันตกที่จะต้องทำก็คือการรวมตัวกันต่อต้านการก่อการร้ายและลดความตึงเครียดระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่านลงไป
การสร้างความขัดแย้งขึ้นมาใหม่มีแต่จะยิ่งทำให้ภูมิภาคไม่มีเสถียรภาพยิ่งขึ้นไปอีก
ความพยายามโดยซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรของตนในภูมิภาคที่จะโดดเดี่ยวกาตาร์อย่างน้อยก็ถือเป็นโอกาสแห่งการอำนวยพรไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง โดยมี โดนัลด์ ทรัมป์ อยู่หลังฉาก อิสราเอลสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้ซาอุดีอาระเบียเดินเข้าสู่อันตรายด้วยการปลุกเร้าให้ทำสงครามกับอิหร่าน
สิ่งที่นำไปสู่วิกฤตที่เกิดกับกาตาร์ก็คือคำพูดของอมีร (Amir) หรือผู้นำประเทศ ชัยค์ ตามีม บิน ฮามัด อัช-ษานี (Tamim bin Hamad Al-Thani)
ซึ่งตั้งคำถามถึงการที่ซาอุดีอาระเบียจะเผชิญหน้ากับอิหร่าน
ในคำพูดของ ชัยค์ ตามีม ซึ่งกล่าวกันว่าถูกแอบดักฟังนั้น ตัวของอมีรเองได้ยกย่องบทบาทของขบวนการลุกขึ้นสู้อย่างขบวนการฮามาส (Hamas) ของปาเลสไตน์และกองกำลังฮิสบุลลอฮ์ (Hisbollah) ของเลบานอน
การสนับสนุนกองกำลังฮามาสนั้นเป็นที่รับทราบกันดีอยู่แล้ว แต่กับขบวนการฮิสบุลลอฮ์นั้นกาตาร์อยู่คนละค่ายในสงครามกลางเมืองที่ซีเรีย
กาตาร์ก็เหมือนกับซาอุดีอาระเบียคือสังกัดอยู่ในแนวคิดของสำนักวะฮาบี (Wahabi) ที่เป็นซุนนีอิสลาม ซึ่งไปไกลถึงบางครั้งตีความว่าสำนักคิดชีอะฮ์ไม่ใช่อิสลามหรือเป็นพวกนอกรีต (apostates)
ในขณะที่กองกำลังฮิสบุลลอฮ์เป็นพรรคการเมืองของคนชีอะฮ์ในเลบานอน กาตาร์ถูกกล่าวหาว่าจ่ายเงินค่าไถ่ให้กลับกลุ่มชีอะฮ์ที่ใช้ความรุนแรงต่างๆ ที่อยู่ในอิรัก
ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมิถุนายน ฮัยเดอร์ อัล-อะบาดี (Haider al-Abadi) กล่าวว่า กาตาร์จ่ายเงินค่าไถ่ 500 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อให้ปล่อยตัวชาวกาตาร์ 25 คนที่จับไปเป็นตัวประกัน
ซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรกล่าวว่าเงินจำนวนดังกล่าวถูกนำไปให้กองกำลังชีอะฮ์ ข้อกล่าวหาสำคัญที่มีต่อกาตาร์ก็คือกาตาร์มิได้นำเอากฎเกณฑ์ของ GCC หรือสภาความร่วมมือแห่งอ่าว (เปอร์เซีย) ด้วยการโดดเดี่ยวอิหร่านไปใช้
ส่วนข้อกล่าวหาอื่นๆ ก็คือกาตาร์อันเป็นรัฐเล็กๆ ได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ แต่ความโกรธเคืองที่ดูเหมือนจะหนักหนาสากรรจ์ก็คือตัวของกาตาร์เองที่ยังคงให้การสนับสนุนขบวนการทางการเมืองและพรรคการเมืองอย่างกลุ่มภราดรภาพมุสลิม (Muslim Brotherhood) และฮามาส
อิสราเอล ซาอุดีอาระเบีย UAE อียิปต์และอีกบางประเทศถือว่ากลุ่มภราดรภาพมุสลิมและขบวนการฮามาสเป็นผู้ก่อการร้าย ในขณะที่อีกหลายประเทศมองว่ากลุ่มภราดรภาพมุสลิมจะเป็นกลุ่มที่เข้ามาปลดปล่อยประเทศมุสลิมจากการยึดครองของประเทศตะวันตกในที่สุด
ในการไปเยือนกรุงปารีสเมื่อสัปดาห์ที่สองของเดือนมิถุนายน อาดิล อัล-ญุเบร รัฐมนตรีต่างประเทศของซาอุดีอาระเบียได้ยื่นข้อเรียกร้องให้กาตาร์ตัดความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับกลุ่มภราดรภาพมุสลิมและขบวนการทุกเรื่องทิ้งไปเสีย
ทั้งนี้ ขบวนการฮามาสเคยชนะการเลือกตั้งในฉนวนกาซ่าและเวสต์แบงก์ในปี 2006 มาแล้วและมีอำนาจอยู่ในดินแดนฉนวนกาซ่าที่อิสราเอลปิดล้อมอยู่
ขบวนการฮามาสมีความผูกพันยึดมั่นอยู่กับกลุ่มภราดรภาพมุสลิมที่มีความตื่นตัวอยู่ในตูนิเซีย โมร็อกโก จอร์แดนและประเทศอาหรับอื่นๆ
ทั้งนี้ ผู้นำชั้นยอดของขบวนการภราดรภาพมุสลิมในอียิปต์อีกจำนวนมากรอการลงโทษอยู่ในคุก หลังจากการรัฐประหารเพื่อเข้าสู่อำนาจของนายพล อัซ-ซิซี