Cool Tech : เกิดอะไรขึ้นกับหัวเว่ย?

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin
Chinese multinational networking and telecommunications equipment and services company Huawei's CEO Richard Yu presents the new phone Huawei's P10 during a press conference on February 26, 2017 in Barcelona on the eve of the start of the Mobile World Congress. Phone makers will seek to seduce new buyers with even smarter Internet-connected watches and other wireless gadgets as they wrestle for dominance at the world's biggest mobile fair starting tomorrow. / AFP PHOTO / LLUIS GENE

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องที่ฮ็อตที่สุดในวงการเทคโนโลยีก็คือเรื่องความเพลี่ยงพล้ำของหัวเว่ยกับสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง Huawei P10 และ P10 Plus ที่ดูจะกำลังเป็นไปได้ด้วยดี แต่ก็ดั๊นมาสะดุดเข้ากับหินโสโครกก้อนใหญ่ที่อาจทำให้เรือจมเอาได้ง่ายๆ

วันนี้เราลองมาค่อยๆ ย้อนกลับไปดูกันดีกว่าค่ะว่าเรื่องนี้มันเป็นยังไงมายังไง

 

เกิดอะไรขึ้น

กับ Huawei P10 และ P10 Plus

เรื่องนี้เกิดขึ้นมาจากกลุ่มผู้ใช้งานชาวจีนที่เริ่มจะสงสัยเอะใจขึ้นมาว่าสมาร์ตโฟน P10 และ P10 Plus อาจจะใส่หน่วยความจำภายในมาให้แต่ละเครื่องไม่เหมือนกันโดยที่ไม่ได้บอกให้ผู้บริโภครับรู้

ซึ่งแปลว่าลูกค้าที่ซื้อ P10 แต่ละคนอาจจะได้สเป๊กภายในที่ไม่เหมือนกัน คืออาจจะได้แรม LPDDR3 หรือ LPDDR4 ไปจับคู่กับสตอเรจ UFS 2.1 หรือ UFS 2.0 หรือ eMMC 5.1 (ซึ่งเป็นสเป๊กที่ด้อยกว่าสองอย่างแรก) ทำให้ส่งผลกระทบต่อเพอร์ฟอร์มมานซ์ของเครื่องโดยรวม

ใครโชคดีก็อาจได้การจับคู่ของ LPDDR4 และ UFS 2.1 ไป

ความดราม่าก็เลยบังเกิด เพราะผู้บริโภคทุกคนใครบ้างจะไม่อยากได้สเป๊กเครื่องที่ดีที่สุดในราคาที่จ่ายไปเท่ากัน

ดังนั้น ผู้ใช้งานชาวจีนเขาก็เลยพร้อมใจกันตรวจเช็กสเป๊กทำเบนช์มาร์กเครื่องตัวเองแล้วก็มาโพสต์แชร์ให้กันดู ซึ่งแต่ละเครื่องก็แตกต่างกัน (ซึ่งแน่นอนว่าตามเคสปกติมันก็จะออกมาไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่ในกรณีนี้ยูสเซอร์พบว่ามันแตกต่างกันมากเกินไป)

และทำไปทำมาเรื่องก็เริ่มลามปามไปยังสมาร์ตโฟนอีกรุ่น คือ Mate 9 Series ที่เปิดตัวมาก่อนหน้าว่าเป็นเคสแบบเดียวกัน

 

ทางด้านหัวเว่ยว่าอย่างไร

คําแถลงการณ์ของ Richard Yu ซีอีโอหัวเว่ยบอกว่ามีการใช้หน่วยความจำที่มีสเป๊กที่แตกต่างกันจริงสำหรับโทรศัพท์ P10 และ P10 Plus ซึ่งนี่เป็นกระบวนการมาตรฐานที่บริษัทจะต้องหาซัพพลายเออร์มาจากหลายแหล่งที่เชื่อถือได้เพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคทั่วโลก

และยืนยันว่าบริษัทไม่เคยให้สัญญาเอาไว้ว่าจะใช้เพียงหน่วยความจำแบบเดียวเท่านั้น

ซึ่งหน่วยความจำเหล่านี้จะถูกใส่ลงไปในโทรศัพท์แบบสุ่ม และไม่ได้ตั้งใจเจาะจงเลือกล็อตใดล็อตหนึ่งเป็นพิเศษ

แต่ทางบริษัทได้ทดสอบแล้วและยืนยันว่าจะไม่มีผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานแต่อย่างใด

ส่วนหัวเว่ยประเทศไทยก็แถลงว่า

“UFS 2.1 เป็นมาตรฐานอินเทอร์เฟสที่กำหนดโดยสมาพันธ์ร่วมด้านวิศวกรรมชิ้นส่วนอิเล็กตรอน (JEDEC) โดยทั้งมาตรฐาน UFS 2.1 (JEDEC Standard No.220C) และ UFS 2.0 (JEDEC Standard No.220 B) มีอัตราความเร็วเท่าเทียมกัน ระหว่าง 249.6-583.04 MB/วินาที หรือ 2496-5830.4 Mb/วินาที และ Huawei Mate 9 Series เป็นไปตามมาตรฐานอินเทอร์เฟสของ UFS 2.1”

และยืนยันว่าทั้งซีรี่ส์ Mate 9 และ P10 ล้วนใช้แรม DDR4 ทั้งสิ้น หากมีความกังวลเรื่องสินค้า สามารถติดต่อศูนย์บริการลูกค้าได้

 

ปฏิกิริยาของลูกค้าเป็นอย่างไร

แน่นอนค่ะว่าทุกคนโกรธมากกกกกก ซู่ชิงเชื่อว่าความรู้สึกในใจของทุกคนคือหากจะใช้สเป๊กที่แตกต่างกันมันไม่ใช่ปัญหาอะไรถ้าบอกให้ผู้บริโภครู้ล่วงหน้า และตั้งราคาให้แตกต่างกันเพื่อให้เป็นการตัดสินใจของผู้ซื้อเอง

แต่พอทุกคนรู้สึกว่าการซื้อ P10 สักเครื่องเหมือนการ “เสี่ยงโชค” โชคดีก็ได้สเป๊กที่ดีที่สุด โชคร้ายก็อาจจะได้เทคโนโลยีที่เก่ากว่าในราคาที่จ่ายเท่ากัน ก็เลยทำให้โกรธควันออกหูกันขนาดนี้

ในประเทศไทยเองผู้บริโภคจำนวนมากรู้สึกเหมือนถูกหักหลังและรวมตัวกันเพื่อไปแจ้ง สคบ.

คนจำนวนไม่น้อยปวารณาว่าไม่เอาอีกแล้วสมาร์ตโฟนจากแบรนด์นี้

 

หัวเว่ยควรแก้ปัญหาอย่างไร

อันนี้เรามาลองเปรียบเทียบกับกรณีของซัมซุง Note 7 ที่เกิดเหตุการณ์แบตเตอรี่ระเบิดสองล็อต ซึ่งจะว่าไปก็เป็นปัญหาที่ซีเรียสและก่อให้เกิดอันตรายได้มากกว่ากรณีของหัวเว่ยเสียอีก

ซัมซุงเลือกที่จะแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วด้วยการประกาศมาตรการชดเชยให้คนที่ซื้อ Note 7 ไป ทั้งเรียกร้องให้เอามาคืน และสัญญาว่าจะให้สิทธิพิเศษมากมายเพื่อเป็นการชดเชย

โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ยังยืนยันว่าจะซื้อสมาร์ตโฟนรุ่นต่อไปของซัมซุงก็จะรู้สึกว่าได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

ไม่ว่าหัวเว่ยจะมั่นอกมั่นใจว่าสเป๊กที่แตกต่างกันจะไม่ส่งผลกระทบต่อเพอร์ฟอร์มมานซ์ของเครื่องโดยรวม และการทำเบนช์มาร์กของผู้บริโภคอาจจะไม่ได้สะท้อนถึงผลลัพธ์ที่แม่นยำขนาดนั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในที่นี้คือ “ความรู้สึกที่คนมีต่อแบรนด์”

ดังนั้น เพื่อป้องกันเหตุการณ์ลุกลามมากกว่านี้ การเสนอมาตรการเยียวยาสำหรับคนที่ได้สเป๊กต่ำกว่าที่ควรจะเป็นก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือวิกฤตคราวนี้ และจะต้องทำอย่างรวดเร็วด้วย

ขณะเดียวกันก็จะต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและออกมาแถลงผลรวมถึงวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกคราวหน้า ซึ่งงานนี้ต้องยอมรับว่าซัมซุงจัดการได้ดีกว่ามาก เห็นได้จากการที่ซัมซุงก็ได้ลอยลำไปกับยอดสั่งจอง Galaxy S8 รุ่นใหม่ที่สูงเป็นประวัติการณ์ไปแล้วด้วย

ซู่ชิงคิดว่าจะน่าเสียดายมากถ้าหัวเว่ยไม่จัดการวิกฤตคราวนี้อย่างระมัดระวังและปล่อยให้พลาดพลั้งไปมากกว่านี้ เพราะกว่าที่หัวเว่ยจะสร้างแบรนด์การเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนที่เจ๋งขึ้นมาได้นั้นก็ใช้เวลาไปไม่น้อยเลย

ก่อนหน้านี้ในประเทศไทย ชื่อของหัวเว่ยถูกโยงเข้ากับภาพลักษณ์ด้านลบของการเป็นสินค้าจากจีนแผ่นดินใหญ่จนแทบแยกไม่ออก

แต่ในช่วงหลังมานี้แบรนด์สามารถประชาสัมพันธ์และทำสินค้าได้ดีจนโทรศัพท์หัวเว่ยกลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ของคนที่อยากใช้โทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์ไปแล้ว

ดังนั้น ไม่ว่าจะต้องจัดการด้วยทรัพยากรที่มากแค่ไหนก็ควรจะต้องยอมค่ะ

Journalists check the new model of Chinese multinational networking and telecommunications equipment and services company Huawei, the Huawei phone P10, following its presentation on February 26, 2017 in Barcelona on the eve of the start of the Mobile World Congress. Phone makers will seek to seduce new buyers with even smarter Internet-connected watches and other wireless gadgets as they wrestle for dominance at the world’s biggest mobile fair starting tomorrow. / AFP PHOTO / LLUIS GENE

 

ในฐานะผู้บริโภคจะทำอะไรได้บ้าง

ในตอนนี้ซู่ชิงยังไม่มีความคืบหน้าว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้ามาช่วยอย่างไรบ้าง

แต่อันดับแรกคือ ใครที่เป็นเจ้าของเครื่อง P10, P10 Plus (และอาจจะ Mate 9 ด้วย)

ก็ต้องลองตรวจสอบสเป๊กภายในของเครื่องตัวเองก่อนว่าน่าจะไปตกลงที่คอมบิเนชั่นไหน ลองเสิร์ชบนกูเกิลว่าวิธีตรวจสอบ Huawei P10 ก็ได้ค่ะ (เว็บไซต์หลายแห่งแนะนำให้ใช้แอพพ์ Androbench 5.0) ถ้าออกมาน่าพึงพอใจ อย่างน้อยๆ ก็จะได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง และคอยติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดว่าเราสามารถใช้สิทธิความเป็นลูกค้าอย่างไรได้บ้าง

รอให้ฝุ่นเริ่มจางลงกว่านี้ รอดูการแก้มือของแบรนด์อีกสักหน่อย แล้วค่อยตัดสินใจกับตัวเองว่านี่จะยังเป็นแบรนด์สมาร์ตโฟนที่เราไว้วางใจอยู่อีกหรือเปล่าค่ะ