ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 เมษายน - 4 พฤษภาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | Cool Tech |
ผู้เขียน | จิตต์สุภา ฉิน |
เผยแพร่ |
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องที่ฮ็อตที่สุดในวงการเทคโนโลยีก็คือเรื่องความเพลี่ยงพล้ำของหัวเว่ยกับสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง Huawei P10 และ P10 Plus ที่ดูจะกำลังเป็นไปได้ด้วยดี แต่ก็ดั๊นมาสะดุดเข้ากับหินโสโครกก้อนใหญ่ที่อาจทำให้เรือจมเอาได้ง่ายๆ
วันนี้เราลองมาค่อยๆ ย้อนกลับไปดูกันดีกว่าค่ะว่าเรื่องนี้มันเป็นยังไงมายังไง
เกิดอะไรขึ้น
กับ Huawei P10 และ P10 Plus
เรื่องนี้เกิดขึ้นมาจากกลุ่มผู้ใช้งานชาวจีนที่เริ่มจะสงสัยเอะใจขึ้นมาว่าสมาร์ตโฟน P10 และ P10 Plus อาจจะใส่หน่วยความจำภายในมาให้แต่ละเครื่องไม่เหมือนกันโดยที่ไม่ได้บอกให้ผู้บริโภครับรู้
ซึ่งแปลว่าลูกค้าที่ซื้อ P10 แต่ละคนอาจจะได้สเป๊กภายในที่ไม่เหมือนกัน คืออาจจะได้แรม LPDDR3 หรือ LPDDR4 ไปจับคู่กับสตอเรจ UFS 2.1 หรือ UFS 2.0 หรือ eMMC 5.1 (ซึ่งเป็นสเป๊กที่ด้อยกว่าสองอย่างแรก) ทำให้ส่งผลกระทบต่อเพอร์ฟอร์มมานซ์ของเครื่องโดยรวม
ใครโชคดีก็อาจได้การจับคู่ของ LPDDR4 และ UFS 2.1 ไป
ความดราม่าก็เลยบังเกิด เพราะผู้บริโภคทุกคนใครบ้างจะไม่อยากได้สเป๊กเครื่องที่ดีที่สุดในราคาที่จ่ายไปเท่ากัน
ดังนั้น ผู้ใช้งานชาวจีนเขาก็เลยพร้อมใจกันตรวจเช็กสเป๊กทำเบนช์มาร์กเครื่องตัวเองแล้วก็มาโพสต์แชร์ให้กันดู ซึ่งแต่ละเครื่องก็แตกต่างกัน (ซึ่งแน่นอนว่าตามเคสปกติมันก็จะออกมาไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่ในกรณีนี้ยูสเซอร์พบว่ามันแตกต่างกันมากเกินไป)
และทำไปทำมาเรื่องก็เริ่มลามปามไปยังสมาร์ตโฟนอีกรุ่น คือ Mate 9 Series ที่เปิดตัวมาก่อนหน้าว่าเป็นเคสแบบเดียวกัน
ทางด้านหัวเว่ยว่าอย่างไร
คําแถลงการณ์ของ Richard Yu ซีอีโอหัวเว่ยบอกว่ามีการใช้หน่วยความจำที่มีสเป๊กที่แตกต่างกันจริงสำหรับโทรศัพท์ P10 และ P10 Plus ซึ่งนี่เป็นกระบวนการมาตรฐานที่บริษัทจะต้องหาซัพพลายเออร์มาจากหลายแหล่งที่เชื่อถือได้เพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคทั่วโลก
และยืนยันว่าบริษัทไม่เคยให้สัญญาเอาไว้ว่าจะใช้เพียงหน่วยความจำแบบเดียวเท่านั้น
ซึ่งหน่วยความจำเหล่านี้จะถูกใส่ลงไปในโทรศัพท์แบบสุ่ม และไม่ได้ตั้งใจเจาะจงเลือกล็อตใดล็อตหนึ่งเป็นพิเศษ
แต่ทางบริษัทได้ทดสอบแล้วและยืนยันว่าจะไม่มีผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานแต่อย่างใด
ส่วนหัวเว่ยประเทศไทยก็แถลงว่า
“UFS 2.1 เป็นมาตรฐานอินเทอร์เฟสที่กำหนดโดยสมาพันธ์ร่วมด้านวิศวกรรมชิ้นส่วนอิเล็กตรอน (JEDEC) โดยทั้งมาตรฐาน UFS 2.1 (JEDEC Standard No.220C) และ UFS 2.0 (JEDEC Standard No.220 B) มีอัตราความเร็วเท่าเทียมกัน ระหว่าง 249.6-583.04 MB/วินาที หรือ 2496-5830.4 Mb/วินาที และ Huawei Mate 9 Series เป็นไปตามมาตรฐานอินเทอร์เฟสของ UFS 2.1”
และยืนยันว่าทั้งซีรี่ส์ Mate 9 และ P10 ล้วนใช้แรม DDR4 ทั้งสิ้น หากมีความกังวลเรื่องสินค้า สามารถติดต่อศูนย์บริการลูกค้าได้
ปฏิกิริยาของลูกค้าเป็นอย่างไร
แน่นอนค่ะว่าทุกคนโกรธมากกกกกก ซู่ชิงเชื่อว่าความรู้สึกในใจของทุกคนคือหากจะใช้สเป๊กที่แตกต่างกันมันไม่ใช่ปัญหาอะไรถ้าบอกให้ผู้บริโภครู้ล่วงหน้า และตั้งราคาให้แตกต่างกันเพื่อให้เป็นการตัดสินใจของผู้ซื้อเอง
แต่พอทุกคนรู้สึกว่าการซื้อ P10 สักเครื่องเหมือนการ “เสี่ยงโชค” โชคดีก็ได้สเป๊กที่ดีที่สุด โชคร้ายก็อาจจะได้เทคโนโลยีที่เก่ากว่าในราคาที่จ่ายเท่ากัน ก็เลยทำให้โกรธควันออกหูกันขนาดนี้
ในประเทศไทยเองผู้บริโภคจำนวนมากรู้สึกเหมือนถูกหักหลังและรวมตัวกันเพื่อไปแจ้ง สคบ.
คนจำนวนไม่น้อยปวารณาว่าไม่เอาอีกแล้วสมาร์ตโฟนจากแบรนด์นี้
หัวเว่ยควรแก้ปัญหาอย่างไร
อันนี้เรามาลองเปรียบเทียบกับกรณีของซัมซุง Note 7 ที่เกิดเหตุการณ์แบตเตอรี่ระเบิดสองล็อต ซึ่งจะว่าไปก็เป็นปัญหาที่ซีเรียสและก่อให้เกิดอันตรายได้มากกว่ากรณีของหัวเว่ยเสียอีก
ซัมซุงเลือกที่จะแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วด้วยการประกาศมาตรการชดเชยให้คนที่ซื้อ Note 7 ไป ทั้งเรียกร้องให้เอามาคืน และสัญญาว่าจะให้สิทธิพิเศษมากมายเพื่อเป็นการชดเชย
โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ยังยืนยันว่าจะซื้อสมาร์ตโฟนรุ่นต่อไปของซัมซุงก็จะรู้สึกว่าได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
ไม่ว่าหัวเว่ยจะมั่นอกมั่นใจว่าสเป๊กที่แตกต่างกันจะไม่ส่งผลกระทบต่อเพอร์ฟอร์มมานซ์ของเครื่องโดยรวม และการทำเบนช์มาร์กของผู้บริโภคอาจจะไม่ได้สะท้อนถึงผลลัพธ์ที่แม่นยำขนาดนั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในที่นี้คือ “ความรู้สึกที่คนมีต่อแบรนด์”
ดังนั้น เพื่อป้องกันเหตุการณ์ลุกลามมากกว่านี้ การเสนอมาตรการเยียวยาสำหรับคนที่ได้สเป๊กต่ำกว่าที่ควรจะเป็นก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือวิกฤตคราวนี้ และจะต้องทำอย่างรวดเร็วด้วย
ขณะเดียวกันก็จะต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและออกมาแถลงผลรวมถึงวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกคราวหน้า ซึ่งงานนี้ต้องยอมรับว่าซัมซุงจัดการได้ดีกว่ามาก เห็นได้จากการที่ซัมซุงก็ได้ลอยลำไปกับยอดสั่งจอง Galaxy S8 รุ่นใหม่ที่สูงเป็นประวัติการณ์ไปแล้วด้วย
ซู่ชิงคิดว่าจะน่าเสียดายมากถ้าหัวเว่ยไม่จัดการวิกฤตคราวนี้อย่างระมัดระวังและปล่อยให้พลาดพลั้งไปมากกว่านี้ เพราะกว่าที่หัวเว่ยจะสร้างแบรนด์การเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนที่เจ๋งขึ้นมาได้นั้นก็ใช้เวลาไปไม่น้อยเลย
ก่อนหน้านี้ในประเทศไทย ชื่อของหัวเว่ยถูกโยงเข้ากับภาพลักษณ์ด้านลบของการเป็นสินค้าจากจีนแผ่นดินใหญ่จนแทบแยกไม่ออก
แต่ในช่วงหลังมานี้แบรนด์สามารถประชาสัมพันธ์และทำสินค้าได้ดีจนโทรศัพท์หัวเว่ยกลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ของคนที่อยากใช้โทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์ไปแล้ว
ดังนั้น ไม่ว่าจะต้องจัดการด้วยทรัพยากรที่มากแค่ไหนก็ควรจะต้องยอมค่ะ
ในฐานะผู้บริโภคจะทำอะไรได้บ้าง
ในตอนนี้ซู่ชิงยังไม่มีความคืบหน้าว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้ามาช่วยอย่างไรบ้าง
แต่อันดับแรกคือ ใครที่เป็นเจ้าของเครื่อง P10, P10 Plus (และอาจจะ Mate 9 ด้วย)
ก็ต้องลองตรวจสอบสเป๊กภายในของเครื่องตัวเองก่อนว่าน่าจะไปตกลงที่คอมบิเนชั่นไหน ลองเสิร์ชบนกูเกิลว่าวิธีตรวจสอบ Huawei P10 ก็ได้ค่ะ (เว็บไซต์หลายแห่งแนะนำให้ใช้แอพพ์ Androbench 5.0) ถ้าออกมาน่าพึงพอใจ อย่างน้อยๆ ก็จะได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง และคอยติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดว่าเราสามารถใช้สิทธิความเป็นลูกค้าอย่างไรได้บ้าง
รอให้ฝุ่นเริ่มจางลงกว่านี้ รอดูการแก้มือของแบรนด์อีกสักหน่อย แล้วค่อยตัดสินใจกับตัวเองว่านี่จะยังเป็นแบรนด์สมาร์ตโฟนที่เราไว้วางใจอยู่อีกหรือเปล่าค่ะ