มงคล วัชรางค์กุล : ทำไมอเมริกาถึงติดเชื้อ โควิด-19 (COVID-19) หนักหนาสาหัสที่สุดในโลก

มีคำถามมากมายว่า ทำไมเป็นอเมริกาที่โดนพิษของโควิด-19 หรือโคโรนาไวรัสจนมีคนป่วยมากที่สุดในโลก

หลายคนในเมืองไทยเขียนบทวิจารณ์ตามความรู้ความเข้าใจที่ตัวเองมี ล้วนห่างไกลข้อเท็จจริง

ผมขอเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกาเป็นขั้นตอนดังนี้

 

คนอเมริกันก็เหมือนคนตะวันตกทั่วไปที่มีวัฒนธรรมการจับมือทักทาย การโอบกอด โดยเฉพาะคนอิตาเลียนและคนฝรั่งเศสจะมีการหอมแก้มซ้าย-ขวาอีกด้วย การทักทายด้วยวิธีการเหล่านี้ล้วนส่งเสริมให้เชื้อโคโรนาไวรัสแพร่กระจายรวดเร็วขึ้น

จนเมื่อโคโรนาไวรัสแพร่ระบาดหนักในอเมริกา จึงมีกฎ Social distancing ให้คนอยู่ห่างกัน 6 ฟุต (2 เมตร) ถ้ายืนใกล้กันภายใน 6 ฟุตแล้วตำรวจมาเจอจะโดนตั๋ว (ticket) ปรับ 400 เหรียญ (12,000 บาท) ซึ่งมีคนโดนปรับมาแล้วจำนวนหนึ่ง ทำให้คนระมัดระวังไม่อยู่ใกล้กัน เป็นวิธีการที่ได้ผลทีเดียว

ขณะเดียวกันก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่ออเมริกามีกฎห้ามไม่ให้คนอยู่ใกล้ชิดกัน ห้ามสัมผัสมือกัน แต่ทำไมประธานาธิบดีทรัมป์จึงยังไปเที่ยวจับมือกับใครต่อใคร ในขณะที่ผู้นำอื่นของโลกเลิกการจับมือไปหมดแล้ว

มีผลให้ทรัมป์เลิกจับมือผู้คนในทันที

เหตุผลต่อมาคือ ช่วงแรกของการระบาดในอเมริกาไม่มีการ test โคโรนาไวรัส วัดแต่ไข้แล้วดูอาการเท่านั้น ประเทศนี้ test ช้าที่สุด ช่วงนั้นทรัมป์บอกว่ามีเครื่องมือตรวจสอบ test kit หลายล้านชุดอยู่ในคลังส่วนกลาง แล้วเพิ่งทยอยส่งออกกระจายไปในรัฐต่างๆ ผลการตรวจโคโรนาไวรัสจึงเริ่มใกล้เคียงความเป็นจริง จนอเมริกามียอดคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นกระฉูดสูงที่สุดในโลก

ขณะที่เขียนเรื่องนี้ 5 เมษายน 2020 อเมริกามียอดคนติดเชื้อ 311,616 คน สูงที่สุดในโลก ตาย 8,489 คน เท่ากับ 2.72%

เมื่อมียอดคนติดเชื้อมาก ยอดคนตายจะออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ไม่มากเท่าไร เปรียบเทียบกับจีนที่มียอดคนตาย 4.07%

อีกเหตุผลหนึ่งคือ อเมริกาเป็นประเทศที่คนมีเสรี ชอบสนุกสนาน รื่นเริง จัดปาร์ตี้ จะเห็นว่าช่วงที่โคโรนาไวรัสระบาดใหญ่ในอเมริกาแล้ว และทำเนียบขาวให้งดการชุมนุมต่างๆ ก็ยังมีการจัดงานชุมนุมใหญ่ 2 งาน คือ

งาน Madi Gras ที่เมือง New Orleans รัฐ Louisiana เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2020

งานฉลอง Spring brake ที่ชายหาด Miami รัฐ Florida เมื่อ 19 มีนาคม 2020

เชื้อโคโรนาไวรัสแพร่กระจายจากงานชุมนุมใหญ่ทั้ง 2 งาน จนมีผลให้ระหว่างวันที่ 1-3 เมษายน 2020 ยอดติดเชื้อในรัฐฟลอริดาเพิ่ม 49% สูงสุดในอเมริกา ยอดติดเชื้อในรัฐลุยเซียนาเพิ่ม 43% เป็นอันดับสอง

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้การควบคุมคนให้อยู่แต่ในบ้านในอเมริกา ได้ผล 96% ยอดติดเชื้อควรจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง

 

อีกสาเหตุคือการขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องโรคภัย อเมริกาก็ไม่แตกต่างจากประเทศอื่นที่มีผู้คนหลายระดับ ความรู้ความเข้าใจป้องกันโรคจึงแตกต่างกันในหมู่ผู้คน โชเฟอร์ที่ขับรถลิมูซีนจากบ้านเรดดิ้งมาส่งผมที่สนามบินเจเอฟเค อายุ 53 ปี มาจากแคนาดา เล่าว่า เขาไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกัน Flu ไข้หวัดใหญ่ พร้อมกับถามว่าทำไมเขาจะต้องฉีด (ให้เสียเงิน) ด้วย ในเมื่อเขาไม่เคยเจ็บป่วย

นี่คือตัวอย่างหนึ่งของคนอเมริกันที่ป่วยตายด้วย Flu ปีละราว 20,000 คน เพราะไม่คิดฉีดวัคซีนป้องกัน

เขาขับรถมาส่งผมคืนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ และเล่าว่า เมื่อปลายเดือนมกราคม เขารับนักศึกษาจีนจากเจเอฟเค มาส่งที่ Albright U มหาวิทยาลัยดังของเมืองเรดดิ้ง ช่วงนั้นอู่ฮั่นไวรัส (ชื่อขณะนั้น) เริ่มระบาดแล้ว ผมใจหายวาบ แอบนับนิ้วในใจ โชคดีที่ผ่านระยะแพร่เชื้อ 14 วันมาแล้ว

ขนาดคนระดับผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย ชื่อ Brian Kemp ยังยอมรับกับ CNN เมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่า เขาเพิ่งรู้ว่าคนไม่มีอาการก็แพร่เชื้อโคโรนาไวรัสได้

การขาดความรู้เรื่องโรคภัยไข้เจ็บของคนอเมริกัน ทำให้ขาดการป้องกันที่ดี เชื้อจึงแพร่กระจายไปกว้างขวางเมื่อเริ่มต้น

 

การไม่สวมหน้ากาก Mask ของคนอเมริกันและคนยุโรป มีส่วนที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายได้รวดเร็ว พวกฝรั่งมีความเชื่อว่าหน้ากากควรใช้เฉพาะคนป่วยเท่านั้น ซึ่งเป็นความเชื่อที่ตรงข้ามกับคนเอเชียที่จะสวมหน้ากากเพื่อป้องกัน

อย่างไรก็ดี เมื่อมีคำแนะนำให้สวมหน้ากาก Mask ก็กลายเป็นของหายากและขาดตลาดในอเมริกาแล้ว แม้แต่หมอและพยาบาลก็ยังไม่ค่อยมีพอใช้

ทรัมป์แนะนำให้คนใช้ Scarf ผ้าพันคอ พันปิดหน้า ปิดจมูก จะพันให้สวยงามเป็นแฟชั่นอย่างไรก็ได้ ขอเพียงให้ทำ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก Andrew Cuomo ยอมรับกับ CNN เมื่อสองสามวันที่แล้วว่า การที่ Mask ขาดตลาดในอเมริกา มีไม่พอให้หมอและพยาบาลใช้เป็นเพราะ

“เรา Chop China” “สับ” ไปให้ผลิตในเมืองจีน แล้วจีนไม่ส่ง Mask มาให้

แหล่งข่าวบอกว่า การผลิตในจีน ทำให้ต้นทุน Mask ลดลงเหลือแค่ชิ้นละ 12 เซ็นต์หรือ 3.60 บาท

ตอนนี้ทรัมป์สั่งให้โรงงานในอเมริกาเร่งผลิต Mask เพื่อใช้ในประเทศ ยกเลิกการส่งออกไปแคนาดาและบราซิลทั้งหมด

การผลิต Mask ในอเมริกา มีต้นทุนชิ้นละ 7 เหรียญ หรือ 210 บาท ที่แพงเพราะวัตถุดิบทุกอย่าง made in USA ทั้งนั้น รวมทั้งค่าแรงงาน rate อเมริกา แต่ก็ต้องยอมรับได้

อีกเหตุผลหนึ่งคือการระบาดในอเมริกาเป็นไปแบบโดนจู่โจม ตั้งตัวไม่ทัน Andrew Cuomo ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กพูดออกทีวี เมื่อ 5 เมษายน 2020 ว่า

ตอนแรกระบาดคนไข้มาโรงพยาบาลพร้อมกันมากมายเกินกว่าความสามารถ (Capacity) ของโรงพยาบาลจะรับไหว ทั้งที่โรงพยาบาลได้รับการออกแบบให้รองรับคนเจ็บป่วยได้ทุกรูปแบบ

“แต่ตอนใหม่ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าโคโรนาไวรัสเป็นอย่างไร มีผลให้โรงพยาบาลเกิดการ “ระเบิด” (Explode) รองรับโคโรนาไวรัสไม่ไหว”

 

ข้อกล่าวหาที่โพส์ตกันในเมืองไทย คือคนอเมริกันติดโคโรนาไวรัสเยอะเพราะการล่มสลายของระบบรักษาพยาบาลในอเมริกา คนเขียนนำข้อมูลที่อ้างว่าได้จากเพื่อนคนไทย 2 คนในอเมริกามาร้อยเรียง

คนเขียนอ้างว่ามีคนอเมริกัน 30% ไม่มีประกันสุขภาพ เข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาลและโจมตีว่าเป็นเพราะทรัมป์ยกเลิก “โอบามาแคร์” ประกันสุขภาพคนยากจน

ขอเล่าให้ประดับความรู้ว่าอเมริกามีกฎหมาย EMTALA (Emergency Medical Treatment and Active Labor Act) กฎหมายว่าด้วยการรักษาพยาบาลฉุกเฉินแก่ทุกคน

กฎหมายนี้เป็น federal law กฎหมายสูงสุดแห่งชาติ ใช้บังคับทั้งประเทศ ตราขึ้นมาตั้งแต่ปี 1986 ให้ความคุ้มครองทางการรักษาพยาบาลกับคนทุกคนที่อยู่ในอเมริกา โดยไม่คำนึงถึงว่าจะต้องมีสัญชาติ (citizenship) มีสถานะทางกฎหมายที่ถูกต้อง (legal status) หรือมีความสามารถจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือไม่ (ability to pay)

ไม่สนใจทั้งนั้น ระบุเพียงว่าทุกคนในประเทศนี้ต้องได้รับการรักษาพยาบาลผ่านช่องทางฉุกเฉินโดยเท่าเทียมกันทั่วหน้า

บังคับว่าทุกโรงพยาบาลต้องตรวจรักษา ประเมินผล (Evaluate) คนไข้ทุกคนที่เจ็บป่วยเดินเข้ามาในระบบฉุกเฉินของโรงพยาบาล ห้ามปฏิเสธการรักษาโดยเด็ดขาด การวินิจฉัยโรคจะต้องทำถึงขั้นที่สุด ถ้าต้องมีการส่งต่อทาง ฮ.ไปยังโรงพยาบาลอื่นที่มีผู้เชี่ยวชาญหรือมีเครื่องไม้เครื่องมือครบกว่า ก็ต้องทำ

โดยไม่มีคำถามว่า คนไข้มีประกันสุขภาพหรือไม่

โรงพยาบาลเอกชนในบางประเทศปฏิเสธคนไข้ที่ไม่มีตังค์ได้ทันที

แต่ไม่ใช่ในอเมริกา

การรักษาพยาบาลนั้นจะไม่มีการส่งบิลทันทีที่เดินออกจากโรงพยาบาล แต่จะส่งมาที่บ้านทางไปรษณีย์หลังจากนั้นประมาณ 10 วัน แจ้งว่ามีค่ารักษาพยาบาลรายการใด เป็นเงินเท่าไร ถ้ามีประกันที่แจ้งไว้ตอนแอดมิตก็จะบอกมาเลยว่า ประกันจ่ายให้เท่าไร คนป่วยต้องโคเพย์ร่วมจ่ายเท่าไร

ถ้าไม่มีประกันก็จะแจ้งมาว่ายอดบิลเท่าไร

ในกรณีที่คนไข้ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาทั้งยอด หรือไม่มีเงินจ่ายค่าโคเพย์ ก็จะรอจนถึงการส่งบิลครั้งที่สาม ถ้ายังจ่ายไม่ได้ ก็จะมีเบอร์ให้โทร.ติดต่อกลับ แล้วทางโรงพยาบาลจะตัดเข้ากองทุนอนาถาของโรงพยาบาลเป็นผู้จ่าย

ทุกโรงพยาบาลในอเมริกามีกองทุนรองรับผู้ป่วยอนาถา

เช่น ในเมืองเรดดิ้ง โรงพยาบาล Penn State Health St. Joseph”s เคยเป็นของพวกคาทอลิกมีเงินกองทุนอนาถาเยอะมาก ตอนนี้ Penn State U มาเทกโอเวอร์ก็มีเงินกองทุนมาเพิ่มอีก

หรือโรงพยาบาลเรดดิ้ง โรงพยาบาลเก่าแก่ที่ตั้งมาตั้งแต่สมัยเมืองเรดดิ้งรุ่งเรืองเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ตั้งแต่ปี 1867 มีหมอ 1,500 คน มีเงินกองทุนอนาถาที่เศรษฐีเรดดิ้งลงขันไว้ 1,000 กว่าล้านเหรียญ เป็นเงินกองทุนใหญ่อันดับสองของอเมริกา

พวก Hispanic (เชื้อสายสเปน) จากนิวยอร์กและรัฐใกล้เคียงรู้เรื่องเงินกองทุนนี้ จึงอพยพมาตั้งถิ่นฐานในเมืองเรดดิ้งเพื่อใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลฟรี

ส่วนการยกเลิกประกันโอบามาแคร์ของทรัมป์ ก็ไม่มีผลอะไร เพราะคนยากคนจนที่ไม่มีประกันสุขภาพก็ใช้สิทธิ์รักษาจากกองทุนอนาถาของโรงพยาบาลประจำเมืองได้อยู่แล้ว

รัฐบาลกลางจะต้องไปจ่ายเงินให้กองทุนโอบามาแคร์เพื่ออะไร ในเมื่อมันคือนโยบายหาเสียงของพรรคคู่แข่งเท่านั้น

 

ผมมีความเห็นว่า ข้อผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดที่ทำให้โคโรนาไวรัสแพร่ระบาดในอเมริกามีคนติดเชื้อมากที่สุดในโลก คือ

การคาดการณ์ผิดพลาดไม่ป้องกันคนเดินทางเข้าอเมริกาจากยุโรป

เพราะช่วงที่โคโรนาไวรัสเริ่มระบาดหนักในจีน วันที่ 31 มกราคม 2020 ทรัมป์ได้ประกาศห้ามคนจีนและคนต่างชาติที่เดินทางผ่านจีนใน 14 วันเข้าอเมริกา

อเมริกาเป็นชาติเดียวในโลกที่ห้ามคนจีนเข้าประเทศ

แต่อเมริกาลืมคิดไปว่า ทุกประเทศในยุโรปไม่ได้ห้ามคนจีนเข้าประเทศ ทัวร์จีนคือรายได้หล่อเลี้ยงหลายประเทศที่นั่น โดยเฉพาะอิตาลีที่มีเมืองมิลานเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของคนจีน รวมทั้งแรงงานจีนที่ทำงานในโรงงานสินค้าแบรนด์เนมในมิลาน

อิตาลีจึงโดนโคโรนาไวรัสหนักที่สุดในยุโรป

ในห้วงช่วงเวลาเดียวกัน คนยุโรปที่รับเชื้อจากคนจีนแล้วแต่ยังไม่แสดงอาการ ก็เดินทางเอาเชื้อเข้ามาแพร่ในอเมริกาอย่างเสรี รวมทั้งคนอเมริกันที่ไปยุโรปแล้วกลับมา เช่น ดีไซเนอร์จีนหนึ่งเดียวจากนิวยอร์ก Han Wen พร้อมทีมนางแบบจากนิวยอร์กในแฟชั่นโชว์ชุด “China, We are With You” ในงาน Milan Fashion Week 18-24 กุมภาพันธ์ 2020

โดยเฉพาะคนยุโรปเข้ามาผ่านสนามบิน JFK ของนิวยอร์กและสนามบิน Newark ของนิวเจอร์ซีย์ ทั้งสองสนามบินเป็น Gateway รับคนบินข้ามฟากแอตแลนติกมาจากยุโรป จากเดือนกุมภาพันธ์ทั้งเดือนจนถึงกลางเดือนมีนาคม 2020

ยิ่งไปกว่านั้น นิวยอร์กยังเต็มไปด้วยชุมชนแออัด “ต่ำกว่าขีดความยากจน” (Below Poverty Line) คือพวกที่ “จนยิ่งกว่าจน” ทั้งใน Bronx, Queens, Brooklyn, Staten Island หรือแม้แต่ใน Manhattan

ส่วนในนิวเจอร์ซีย์ก็มีชุมชนแออัดต่ำกว่าขีดความยากจนหลายแห่งเช่นกัน

ดังนั้น เมื่อมีคนติดเชื้อในชุมชนแออัด “จนยิ่งกว่าจน” เชื้อก็แพร่ระบาดเหมือนไฟลามทุ่งไปจนทั่วอเมริกา

ทรัมป์ห้ามไม่ให้คนจากยุโรปเข้าอเมริกาเมื่อ 13 มีนาคม 2020 ยกเว้นอังกฤษและไอร์แลนด์ แต่พออีก 2-3 วันก็ห้ามยุโรปทั้งหมดเข้าอเมริกา

แต่ก็สายไปเสียแล้ว

เพราะคนยุโรปได้นำพาเชื้อโคโรนาไวรัสจากจีนมาแพร่กระจายเต็มอเมริกาก่อนหน้านั้นแล้ว