ลำดับเหตุการณ์ในฮ่องกง : จากร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน สู่การชุมนุมและความรุนแรงได้อย่างไร

จากเหตุฆาตกรรมในช่วง กุมพาพันธ์ ปี 2018 เมื่อคู่รักคู่หนึ่งเดินทางไปท่องเที่ยวที่ไต้หวันแต่มีผู้ชายเท่านั้นที่กลับมาฮ่องกงเพียงคนเดียว ซึ่งภายหลังจากกลับมาผู้ชายคนดังกล่าวถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุฆาตกรรมแฟนสาวของตัวเอง และถูกส่งตัวขึ้นศาลแต่ศาลฮ่องกงไม่สามารถพิจารณาคดีได้ เพราะเหตุเกิดที่ประเทศไต้หวัน ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 1997 ประเทศฮ่องกงและจีน พยายามอย่างมากถึงการเจรจาข้อตกลงสนสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกันหลายครั้ง ซึ่งเหตุผลที่ฮ่องกงไม่ยอมทำสนธิสัญญายอมส่งตัวผู้ร้ายให้กับจีนนั้นเป็นเพราะฮ่องกงยังไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศจีน โดยศาลจีนอยู่ภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ จึงทำให้หลายๆครั้งที่ผ่านมาทำข้อตกลงไม่เป็นผลสำเร็จ

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 62 รัฐบาลฮ่องกงเสนอ ร่างรัฐบัญญัติกฎหมายผู้หนีคดีและความช่วยเหลือร่วมกันทางกฎหมายในคดีอาญา ในการเสนอร่างกฏหมายดังกล่าวนั้นเพื่อให้ฮ่องกงสามารถขอให้ไต้หวันมอบตัวชายผู้ต้องสงสัยฆ่าคนในไต้หวัน แต่ในระเบียบการในร่างนั้นมิใช่เพื่อกรณีของไต้หวันเท่านั้นแต่ยังสามารถใช้ได้แก่จีนแผ่นดินใหญ่และมาเก๊าได้ด้วยซึ่งไม่ได้อยู่ในขอบเขตของกฎหมายในปัจจุบัน หลายฝ่ายมองเห็นถึงปัญหาที่ว่าอาจจะเป็นการเปิดทางให้ส่งตัวบุคคลไปจีน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ปฏิเสธการไม่ยอมรับร่างกฏหมายส่งตัวผู้ร้ายฉบับบนี้ ตราบใดที่ยังอยู่ในการปกครองแบบ 1 ประเทศ 2 ระบบ

ในมุมมองหลายๆฝ่ายในฮ่องกงมองว่าหากร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกนำไปใช้จริง อาจเป็นการเปิดทางให้กับจีนใช้ช่องทางนี้เล่นงานคนฮ่องกงที่อพยพมาจากประเทศจีน หรือกลุ่มคนที่ถูกมองว่าต่อต้านประเทศจีน ซึ่งรวมไปถึงการมีส่วนได้ส่วนเสียและผลประโยชน์ต่าง ๆทางการเมือง ทำให้ประชาชนชาวฮ่องกงลุกขึ้นต่อต้านร่างกฎหมายฉบับนี้

ทำให้ในวันที่ 9 มิถุนายน 62 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า มีจำนวนคนนับแสนรวมตัวกันตามท้องถนนบนเกาะฮ่องกง ในการชุมนุมประท้วงต่อต้านการส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยในวันนั้นผู้บัญชาการตำรวจได้เรียกร้องให้ประชาชนอยู่ในความสงบ มีเจ้าหน้าที่กว่า 2,000 นาย เข้ามาควบคุมการชุมนุมประท้วง ต่อมาได้เกิดเหตุผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างรุนแรงทำให้มีผู้ประท้วงโดนควบคุมตัว 19 คน  เป็นชายวัย 20 ในวันนั้นได้มีการประมาณการของผู้เข้าร่วมชุมนุมครั้งนี้ 500,000 คน จากการประมาณการทำให้สะท้อนถึงการชุมนุมครั้งที่ผ่านมาในปี 2003 ที่มีการชุมนุมกว่า 500,000 คน เพื่อขับไล่รัฐบาลที่เตรียมออกกฎหมายด้านความมั่นคงที่เข้มงวด และยังมีอีกส่วนที่ออกมาเรียกร้องให้นาง แคร์รี แลม ผู้ว่าการฮ่องกง ลงจากตำแหน่ง

ในวันที่ 12 มิถุนายน 62 ผู้ประท้วงหลายร้อยคนปิดล้อมรอบ ๆ อาคารที่ทำการรัฐบาลฮ่องกง ช่วงเวลานั้นสมาชิกสภาเตรียมการประชุมพิจารณาว่าด้วยกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ผู้ชุมนุมปิดทางเข้าออกทำให้การประชุมต้องเลื่อนออกไป โดยรัฐบาลได้เรียกร้องให้ประชาชนที่ปิดทางเข้าออก ให้กลับออกไปให้เร็วที่สุด เหตุการณ์รุนแรงเพิ่มมากขึ้นตำรวจฮ่องกงเริ่มใช้แก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทยและใช้น้ำแรงดันสูง รวมถึงใช้กระสุนยางเพื่อสลายการชุมนุม ใส่ผู้ประท้วงที่ปักหลักอยู่รอบ ๆ ที่ทำการรัฐบาลฮ่องกง ทำให้มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 70 ราย

ต่อมา วันที่ 1 กรกฎาคม 62 มีรายงานจากสำนักข่าวเอเอฟพีว่า เกิดเหตุกลุ่มผู้ประท้วงชาวฮ่องกงปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมหลายพันคนออกมาปิดกั้นถนน และปักหลักประท้วงใจกลางเกาะฮ่องกงในช่วงเช้าของวัน ซึ่งเหตุการปะทะเกิดหลังจาก ผู้ชุมนุมได้รวมตัวปิดถนนสายสำคัญ ได้แก่ ถนนแอดมิรัลตี,หว่านไจ๋ ทำให้ถนนสายหลักต่างเป็นอัมพาต ทำให้ตำรวจปราบจลาจลที่สวมหมวกนิรภัย โดยมีโล่ป้องกันเข้าสกัดผู้ชุมนุม โดยเจ้าหน้าที่ฉีดสเปรย์พริกไทย รวมถึงใช้กระบอกตีผู้ประท้วงเพื่อสลายกรชุมนุม ในวันเดียวกันมีการจัดงานรำลึกครบรอบ 22 ปี ที่อังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนสู่ใต้อาณัติจีน และยังมีรายงานว่า ก่อนที่พิธีเชิญธงชาติเพื่อรำลึกถึงวันส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนสู่จีนได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจจลาจลได้ใช้กำลังเข้าจับกุมผู้ประท้วงที่ปิดถนนเส้นหนึ่ง ทำให้มีผู้ชุมนุมหญิง 1 ราย ถูกตีศีรษะจนเลือดท่วมไปทั่วตัว ในส่วนงานพิธีรำลึก นางแลมกล่าวเนื่องวาระสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ซึ่งทำให้ตนเข้าใจอย่างท่องแท้ว่าในฐานะนักการเมืองตระหนักและเข้าใจในความรู้สึกของประชาชน

ในช่วงค่ำของวันที่ 21 กรกฎาคม 62 เกิดเหตุความรุนแรงขึ้นอีกครั้งหลังจากมีกลุ่มผู้ประท้วงสวมชุดดำปกปิดใบหน้าท้าทายตำรวจด้วยการเดินขบวนเลยพื้นที่สิ้นสุด ที่ตำรวจได้กำหนดไว้ ไปยังสำนักงานผู้แทนจีนประจำฮ่องกง ได้เริ่มก่อความไม่สงบโดยผู้ประท้วงบางคนเริ่มปาไข่และพ่นสีใส่กำแพงของสำนักงาน ส่วนผู้ประท้วงคนอื่นปิดกั้นถนนสายสำคัญ

เอเอฟพีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล ได้ขับไล่ผู้ประท้วงที่อยู่ตามท้องถนนตามสายต่าง ๆ  มีการไล่กวดไล่ตีกัน ใช้แก๊สน้ำตาและยิงกระสุนยางไล่ผู้ประท้วงเหตุการณ์ได้บานปลายมาตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่แล้ว(นับจากวันที่ 21 ก.ค 62) ที่มีการต่อสู้กันบนท้องถนน ตำรวจได้ใช้ไม้ตะบองกับผู้ประท้วง ทำให้มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และมีผู้ประท้วงถูกจับกุมมากกว่า 40 รายในวันนั้น

ทั้งนี้ยังมีรายงานอีกด้วยว่า เกิดเหตุการณ์กลุ่มชายสวมหน้ากากและแต่กายชุดขาวใช้ท่อนไม้ บุกเข้าทำร้ายร่างกายกลุ่มผู้ประท้วงที่ต่อต้านรัฐบาล ในสถานีรถไฟหยุ่นหลงเมื่อกลางดึกของวันอาทิตย์ ซึ่งมีหลักฐานภาพยืนยันเป็นการถ่ายทดสดผ่านทางเฟซบุ๊คของสแตนด์นิวส์ เป็นสื่อท้องถิ่นของฮ่องกง ทำให้นักข่าวหญิงราย 1 ถูกทำร้ายในเหตุการณ์นี้ ในภาพนักข่าวหญิงได้ล้มลงไปกับพื้นและโดนกลุ่มผู้ประท้วงรุมทำร้าย ในภาพยังปรากฏชายอย่างน้อย 1 ราย ที่มีเลือดเปื้อนหน้า

เกิดการปะทะครั้งใหม่เกิดขึ้นในวันที่ 27 กรกฎาคม 62 ที่รุนแรงเพิ่มอีกระดับ เจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ประท้วง ณ บริเวณสถานีรถไฟใต้ดินหยุนหลง เหตุผลของการปะทะครั้งนี้เกิดจากการประท้วงต่อกลุ่มอั้งยีจีนที่ส่งกำลังจำนวนหนึ่งออกมาไล่ทุบตีผู้ประท้วงในบริเวณสถานีรถไฟแห่งนี้ โดยมีอาวุธเป็นไม้เบสบอล พลองและท่อนเหล็ก(สัปดาห์ก่อนหน้าวันที่ 27 ก.ค 62) ซึ่งการประชุมนุมในครั้งนี้อยู่ใกล้กับชายแดนติดต่อกับจีนแผ่นดินใหญ่ เวลาต่อมาการชุมนุมก็ต้องยุติลง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลบุกเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่ในสถานีเป็นกลุ่มสุดท้าย โดยเกิดเหตุปะทะกันอย่างรุนแรง กลุ่มผู้ชุมนุมขว้างปาสิ่งของและพยายามล้อมกรอบรถเจ้าหน้าที่ ในส่วนของเจ้าหน้าที่มีการตอบโต้กลุ่มผู้ชุมนุมด้วยการใช้ไม้พลองและกระสุนยางเป็นเครื่องมือจนเป็นเหตุบานปลายทำให้เกิดเลือดตกยางออกขึ้นอีกครั้ง ภายหลังเจ้าหน้าที่ได้ออกมาระบุข้อสรุปของเหตุการณ์ได้ยุติลง ซึ่งมีการจับกุมผู้ประท้วงได้ 11 ทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลระบุ มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ 24 ราย ส่วนใหญ่ไม่บาดเจ็บมาก แต่มี 2 ราย ที่อาการสาหัสมากต้องทำการรักษาต่อในโรงพยาบาล

กระสุนจริงนัดแรกในการชุมนุม

ในช่วงค่ำของวันที่ 25 สิงหาคม 62 มีรายงานจากสำนักข่าวเอเอฟพีระบุว่า มีเหตุปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจฮ่องกง ที่ซุนวาน ห่างจากศูนย์กลางของฮ่องกงประมาณ 10 กิโลเมตร ในเวลาต่อมากลุ่มผู้ประท้วงหลายพันคนที่รวมตัวกันที่สนามกีฬาได้เคลื่อนย้ายออกจากบริเวณในช่วงบ่าย ก่อนหน้ามีการเตือนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพร้อมจะสลายการชุมนุม ซึ่งภายหลังผู้ประท้วงได้เริ่มปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นการปะทะกันที่เพิ่มความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และสร้างความลำบากใจให้กับฝ่ายตำรวจเพราะกลุ่มผู้ประท้วงมีกำลังคนที่มากกว่าทำให้การปะทะครั้งนี้มีเสียงปืนดังขึ้น จากผู้เห็นการได้กล่าวว่าเสียงปืนมาจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ไม่มีความแน่ชัดที่ว่าเป้าหมายเล็งไปที่ใคร ถ้านับเหตุการณ์ความรุนแรงหลายครั้งที่ป่านนับตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค 62 ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการใช้กระสุนจริงที่ยิงใส่ผู้ประท้วง

ต่อมาในช่วงวันที่ 25 กันยายน 62 ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์แอปเปิล เดลีของฮ่องกง ของนายจิมมี ไหล มหาเศรษฐีผู้สนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลปักกิ่ง ได้ออกมาประมาณถึงการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่งถึงการทำร้ายร่างกายนักข่าวหญิงของแอปเปิลเดลี ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่กำลังทำข่าวการประท้วงต่อต่านรัฐบาลฮ่องกง ในช่วงค่ำของวันที่ 24 ก.ย ทางแอปเปิลเดลีได้ออกมาระบุถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ผู้ก่อเหตุเป็นชาย 4 คน สวมชุดสีดำและสวมหมวกกันน็อก ซึ่งบริเวณหน้ากากเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มผู้ประท้วง ทำให้นักข่าวสาวได้รับบาดเจ็บ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่ยังไม่มีรายงานการเปิดเผยถึงอาการของนักข่าวรายนี้

การกระทำรุนแรงในหลายครั้งที่ผ่านมามีการตอบโต้ไปมาระหว่างฝ่ายที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยเกิดขึ้นส่งผลกะทบหลายอย่างรวมถึง การวิพากษ์วิจารณ์ของ ลูกสาวบริษัทนำเข้าแฟรนไชน์ ทำให้สตาร์บั๊คส์สาขาในฮ่องกงตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของกลุ่มผู้ประท้วง ซึ่งเขาได้ประณามว่ากลุ่มผู้ชุมนุมในฮ่องกงส่งผลให้เกิดกระแส “บอยคอต” ของร้านกาแฟชื่อดังเป็นวงกว้าง ภายหลังร้านสตาร์บั๊คส์หลายสาขาถูกกลุ่มผู้ชุมนุมพ่นสีกราฟิตี้เต็มหน้าร้าน สตาร์บั๊คส์สาขาหว่านไจ๋ มีข้อความ “บอยคอต” เป็นข้อความที่แสดงถึงการโจมตีตำรวจ ไปจนถึงบริษัทแม็กซิม และบริษัทเซนร้านอาหารผู้นำเข้าแฟรนไชน์สตาร์บั๊คส์ในฮ่องกงอีกด้วย

จนกระทั่งมีการเรียกร้องบอยคอต สตาร์บั๊คส์ มีขึ้นหลังจากแอนนี่ อู ลูกสาวของผู้ก่อตั้งบริษัทแม็กซิม เชนร้านอาหารยักษ์ใหญ่ของฮ่องกง ซึ่งได้กล่าวประณามไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ว่าด้วยการสนับสนุนท่าทีแข็งกร้าวของจีน สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากกับกลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมมองว่าท่าทีของอู นั้นเป็นตัวอย่างของกลุ่มคนรวยในฮ่องกงที่เป็นลูกไก่ในกำมือของจีน มีช่องว่างและไม่ได้รู้สึกมีส่วนร่วมกับประชาชนฮ่องกงมากนัก

ล่าสุดเหตุการณ์ความรุนแรงได้เพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 1 ตุลาคม 62 ที่ผ่าน หลังจากที่ผู้ประท้วงได้ออกมาประกาศว่าจะมีการชุมนุมครั้งใหญ่เกิดขึ้นในวันฉลองชาติครบรอบ 70 ปี ของจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งทำให้ในวันนั้นเกิดการปะทะกันเกิดขึ้นระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รุนแรงขึ้นกว่าครั้งก่อนๆที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่ถูกบักทึกในวิดีโอและเป็นกระแสอย่างมาก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ปืนพกยิงเข้าใส่หน้าอก นายซาง ฉี๋-คิน อายุ 18 ปี ขณะที่ถือไม้ยาวเข้าไปทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการปะทะกันที่เขตเซินวาน จนนายซาง ฉี๋-คิน ได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ล่าสุดอาการคงที่

ด้านกลุ่มผู้ชุมนุมได้ออกมาประณามถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุม พร้อมยังระบุอีกด้วยว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ยกปืนขึ้นขู่ขณะเข้าชุลมุนกับผู้ประท้วง สร้างความไม่พอใจอย่างมากทำให้กลุ่มผู้ประท้วงฮ่องกงออกมารวมตัวโดยไม่สนคำสั่งห้ามรวมตัวประท้วง ทั้งยังกำหนดวันที่ 1 ต.ค 62 ให้เป็น “วันแห่งความโศกเศร้า” ในวันเดียวกันกับวันครบรอบ 70 ปีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน

ผลสรุปจากเหตุการณ์จากเว็บไซต์ Bloomberg ได้ระบุจำนวนการจับกุมผู้ประท้วงได้ 2,022 คน ใช้แก๊สน้ำตาไป 4,138 และใช้กระสุนยางยิงไป 1,733 นัด แต่ยังไม่มีจำนวนผู้คนที่บาดเจ็บออกมาอย่างเป็นทางการแน่ชัด

ทั้งนี้การชุมนุมประท้วงของฮ่องกงยืดเยื้อมาเป็นเวลานานถึง 4 เดือน ไม่มีวี่แววที่จะสงบลงภายในเร็ววัน มีแต่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น การร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็ยังเป็นสิ่งที่ชาวฮ่องกงปฏิเสธที่จะให้อยู่ในระบบกฎหมายของฮ่องกงเพราะอาจจะเป็นช่องทางในการทำให้จีนเข้ามาแทรกแซงฮ่องกงได้ง่ายขึ้นมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น นักวิชาการหลายท่านมองเห็นถึงสภาพปัญหาที่ฮ่องกงกำลังจะเผชิญต่อจากนี้ถึงปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจย่ำแย่ตามมา ซึ่งเป็นปัญหาที่ภาครัฐของฮ่องกงต้องดูแลและแก้ปัญหาต่อจากนี้