เบเร่ต์แดง บานสะพรั่ง วันรบพิเศษ-สี่เสาฯ เบ่งบาน “บิ๊กเจี๊ยบ” กับเรื่องพิเศษ สถานการณ์พิเศษๆ

15824619_1424242974275437_1108397739_o

ไม่ว่าเบื้องหน้า เบื้องหลัง กระแสข่าวการหลุดคณะรัฐมนตรี จะเป็นอย่างไร แต่ไปๆ มาๆ และง่ายที่สุด บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็มาสรุปลงที่ “สื่อ”

จนทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนท่าทีกับสื่อ ทั้งการให้สัมภาษณ์ และลดบทบาทตัวเองลง

ด้วยเพราะไม่พอใจที่สื่อนำข่าวลือมาเสนอ ว่าจะลาออก หรือจะถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี ก่อนหน้านี้

“ชอบมโนเขียนกันไปเองเรื่อยๆ” บิ๊กป้อม เปรย

พล.อ.ประวิตร จึงพยายามที่จะปรับเปลี่ยนท่าทีและบทบาทของตัวเอง เพื่อไม่ให้ถูกมองว่า มี “ใบสั่ง” ใดๆ ให้เงียบ

โดยยืนยันว่า ไม่ได้มีใครมาสะกิดให้ลดบทบาท แม้แต่นายกฯ บิ๊กตู่ แต่เพราะ พล.อ.ประวิตร มานั่งพิจารณาแล้ว ก็ผิดหวัง และน้อยใจ

“ทำงานหนัก เหนื่อย แต่ยังมาถูกโจมตี ถูกปล่อยข่าวลือแบบนี้” บิ๊กป้อม เปรยกับคนใกล้ชิด

หลังจากที่งดให้สัมภาษณ์ไป 1 สัปดาห์ พล.อ.ประวิตร ก็กลับมาให้สัมภาษณ์นักข่าวตามเดิม แต่ทว่า ปรับเปลี่ยนรูปแบบ เป็นการให้ส่งคำถามผ่านโฆษกกลาโหมให้ทราบก่อน เมื่อถึงเวลาให้สัมภาษณ์ ก็จะตอบในประเด็นที่นักข่าวส่งมา โดยไม่เปิดให้นักข่าวถาม

หรือในบางกรณี เปิดให้นักข่าวถามได้ แต่ให้ถามแค่ไม่กี่คำถาม และหากคำถามใดไม่อยากตอบ หรือไม่พอใจ ก็จะไม่ตอบ

“ถ้าเป็นคำถามที่ตั้งเงื่อนไข หรือมโน หรือวิจารณ์ วิเคราะห์ หรือถ้า แล้ว ผมจะไม่ตอบ” พล.อ.ประวิตร บอกกับนักข่าว

ซึ่งกลายเป็นแนวเดียวกับ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แต่นายกฯ จะเปิดให้นักข่าวได้ถามได้มากกว่า

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ยังคงติดใจกับกระแสข่าวลือ ว่าตนเองจะหลุด ครม. นั้นมีต้นตอมาจากไหน อย่างไร และรับทราบด้วยว่าลือกันขนาดไหน

“ไม่จริงเลย ไม่มีใบสั่งอะไรลงมา ไม่มีใครกดดัน นายกฯ ให้ปรับ พล.อ.ประวิตร ออกจาก ครม. ที่สำคัญ พล.อ.ประวิตร ยังคงได้รับสัญญาณดีๆ มาตลอด แม้แต่ในช่วงนี้” ขุมข่าวสายพี่ใหญ่ ยืนยัน

อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยืนยันเองว่า “ไม่เคยคิดที่จะปรับ พล.อ.ประวิตร ออกจาก ครม.”

แต่การที่เจอกระแสข่าวแบบนี้มาทุกครั้งที่มีการปรับ ครม. และตกเป็นเป้าหมายในการถูกโจมตีเสมอๆ ยิ่งครั้งนี้ แรงกว่าทุกครั้ง แถมเป็นช่วงที่ถูกจับตามองว่าบารมีของบิ๊กป้อมแผ่วลง ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจในการเลือก ผบ.ทบ. และแม่ทัพภาคที่ 1 เอง ในการโยกย้ายกันยายน 2559 ที่ผ่านมา

จนทำให้ทั้งทหาร ตำรวจ ได้เห็นกันแล้วว่า คนที่คุมอำนาจตัวจริง ไม่ว่าจะในวงการสีกากี วงการลายพราง ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ นั่นเอง

แต่กระนั้นน้องๆ ตำรวจ ทหารก็ยังให้ความเคารพรักบิ๊กป้อม ในฐานะพี่ชายที่แสนดี ต่อไป

ในขณะที่ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่แห่งสายบูรพาพยัคฆ์ อยู่ในสถานภาพเนือยๆ นิ่งๆ แต่นายทหารที่ได้ชื่อว่าเป็น “น้องรักบิ๊กตู่” และสายบ้านสี่เสาเทเวศร์ กลับมาเฟื่องฟู

จากการที่ “น้องรัก” ของบิ๊กป้อม อย่าง บิ๊กแกละ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร ชวดเก้าอี้ ผบ.ทบ. และ บิ๊กตู่ พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา ชวดตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ในการโยกย้ายที่ผ่านมา

แต่บรรดาน้องเลิฟบิ๊กตู่ ก็ขึ้นมาผงาด โดยเฉพาะ บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 คุมกำลังสำคัญ และกลายเป็นตัวเต็ง ผบ.ทบ. ในอนาคตอันใกล้นี้

และจะเป็นยุคที่วงศ์เทวัญ จะได้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง หลังจากที่ทหารเสือราชินี และบูรพาพยัคฆ์ ยึดอำนาจในกองทัพมายาวนาน

ยิ่งหากมองไปที่นายทหารที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรี ก็ล้วนเป็นวงศ์เทวัญ ที่เคยเป็นทหารรักษาพระองค์ อดีต ผบ.พล.1 รอ. หรือแม่ทัพภาคที่ 1 ทั้ง บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เพื่อนรัก ตท.12 ของบิ๊กตู่ บิ๊กต๊อก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา น้องรักนายกฯ ที่รู้จักกันว่าเป็น “ราบ 11 คอนเน็กชั่น” พี่เลิฟของ พล.ท.อภิรัชต์

รวมทั้ง บิ๊กโชย พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ อดีต ผช.ผบ.ทบ. องคมนตรีคนล่าสุด ที่เป็นน้องรักสายวงศ์เทวัญของนายกฯ และเพื่อนรัก ตท.16 ของ พล.อ.เฉลิมชัย ผบ.ทบ.

พร้อมๆ กันนั้น สายบ้านสี่เสาฯ กลับสู่อำนาจ เมื่อ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ได้กลับมาเป็นประธานองคมนตรี อีกครั้ง ในรัชกาลที่ 10 รวมทั้ง บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ลูกรักป๋าเปรม แต่ทว่าก็มีรอยร้าวในใจกับ พล.อ.ประวิตร มาตั้งแต่อยู่ในกองทัพ

โดยเฉพาะวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ นำ ครม. และ คสช. ผบ.เหล่าทัพ เข้าตบเท้าอวยพร และขอพรปีใหม่ป๋าเปรม เมื่อ 29 ธันวาคม

แถมทั้งในยุคนี้ มี บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท เป็น ผบ.ทบ. ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมขัดใจ พล.อ.ประวิตร เลือกมาเองกับมือ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นการเสริมอำนาจและบารมีให้ขั้วบ้านสี่เสาเทเวศร์ ให้เบ่งบานยิ่งขึ้น

1

แม้ พล.อ.เฉลิมชัย จะไม่ได้เป็นลูกป๋าสายตรง แต่เพราะความที่เป็นน้องรักสายทหารรบพิเศษ ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จึงทำให้ถูกจัดให้เป็นนายทหารลูกป๋าไปด้วย

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.เฉลิมชัย จะนำกำลังพลใน ทบ. และหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ตบเท้าอวยพรและขอพรปีใหม่ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่มูลนิธิรัฐบุรุษฯ เมื่อ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา ทั้งในฐานะที่ บิ๊กแอ้ด เป็นทั้งอดีตนายกฯ อดีต ผบ.ทบ. และอดีต ผบ.นสศ. พี่เลิฟ พี่ชายที่แสนดี ของเหล่านักรบพิเศษ ด้วยนั่นเอง

ระหว่างอดีต “หัวหน้าวิชชุ” กับ “หัวหน้าชัยสิทธิ์” ที่ปฏิบัติราชการลับในกัมพูชามาด้วยกัน ตอนเป็นนายทหารรบพิเศษหนุ่มๆ นั้น จึงทำให้วันนี้ ระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ กับ พล.อ.เฉลิมชัย ไม่มีอะไรที่ต้องคุยกันมากนัก แค่ประโยคสั้นๆ ที่ว่า “ฝากดูแลกองทัพและประเทศชาติ”

ประหนึ่งว่า ด้วยสายใยพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา และสายเลือดรบพิเศษ ทำให้ “แค่มองตาก็รู้ใจ”

ว่ากันว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ พล.อ.เฉลิมชัย ได้เป็น ผบ.ทบ. เพราะมีสายสัมพันธ์ที่ดี และเป็นที่เคารพนับถือของ พล.อ.ประยุทธ์

รวมทั้งมีส่วนช่วยผลักดันให้น้องๆ ในสายรบพิเศษขึ้นมาสู่ตำแหน่งสำคัญ เคียงข้าง พล.อ.เฉลิมชัย ที่เป็นรบพิเศษท่ามกลางดวงบูรพาพยัคฆ์ และวงศ์เทวัญ โดยเฉพาะเพื่อนรัก ตท.16 ทั้ง บิ๊กเล็ก พล.ท.ศิริชัย เทศนา ผบ.นสศ. และ บิ๊กจุ๋ม พล.อ.ราชรักษ์ เรียนพิชน์ ผอ.ททบ.5 และ บิ๊กหน่อย พล.อ.ธนศักดิ์ เก่งถนอมม้า อดีต ผบ.นสศ. ที่มาช่วยงานบิ๊กเจี๊ยบ

ไม่แค่นั้น ยังเชื่อกันว่า มีเรื่อง “อำนาจพิเศษ” เข้ามาเกี่ยวข้อง ในเส้นทางเดินสู่เก้าอี้ ผบ.ทบ. ของ พล.อ.เฉลิมชัย อีกด้วย

พล.อ.เฉลิมชัย ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่ง มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) เป็นกรณีพิเศษ และได้เข้ารับพระราชทาน ในวันรุ่งขึ้นเลย

รวมทั้งบทบาทของทหารรบพิเศษ และทหารในการถวายงานต่างๆ โดยเฉพาะในการฝึกบุคคลสำคัญ ในด้านการทหาร ที่ค่ายเอราวัณ ของหน่วยรบพิเศษ

อีกทั้งความที่ พล.อ.เฉลิมชัย นั้น ได้ชื่อว่าเป็นนายทหารต้นแบบของรบพิเศษ ที่มีความ “เป๊ะ” ในทุกๆ ด้าน

โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพร่างกาย ความฟิตเปรี๊ยะ แบบทหารรบพิเศษและการเล่นกีฬา เล่นฟุตบอล เรียกได้ว่าทดสอบร่างกาย ปีละ 2 ครั้ง บิ๊กเจี๊ยบ ผ่านเกณฑ์แบบเต็มร้อยทุกครั้ง

รวมถึงนโยบาย Smart Man เพื่อสร้าง Smart Soldier ที่ต้องมีการทดสอบร่างกาย ผบ.หน่วย และใช้เป็นคะแนนประกอบในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายด้วย

บิ๊กเจี๊ยบ ยืนยันว่า นโยบายนี้ไม่ใช่เพราะมี “ใบสั่งพิเศษ” แต่เพราะต้องการสร้างมาตรฐานให้กองทัพบก สำหรับคนที่เป็นผู้นำ เป็น ผบ.หน่วย ที่จะต้องมีความแข็งแรงของร่างกาย และความแข็งแกร่งของจิตใจ

จริงอยู่ แม้ว่าทหารใน ทบ. ไม่ได้เป็นแบบทหารรบพิเศษ ที่ต้องแข็งแกร่งกว่าคนอื่นกันทุกคน แต่ก็มีเกณฑ์ในการทดสอบที่แตกต่างกันไป เพราะถ้าเป็นหน่วยกำลังรบ ยึดเกณฑ์ผ่านที่ 80% แต่ถ้าเป็นทหารรบพิเศษ โดยเฉพาะกองพันจู่โจม จะต้อง 90%

แถมทั้งยั้งต้องทดสอบด้านวิชาการ ที่สนองนโยบายรัฐบาล ทั้งเรื่อง ไทยแลนด์ 4.0 ประชาคมอาเซียน และความรู้เรื่องศาสตร์พระราชา เศรษฐกิจพอเพียง และสิทธิกำลังพล

“ไม่ได้โหด ไม่ได้กดดัน แต่สำหรับทหารที่เป็นผู้นำ จะต้องเป็นตัวอย่างให้ลูกน้อง ไม่อย่างนั้นจะไปนำหน่วยได้ยังไง” บิ๊กเจี๊ยบ แจง

พร้อมยอมรับว่า ลูกน้องบางส่วนก็อาจจะมาพอใจกับนโยบายฟิตเปรี๊ยะแบบนี้

แต่สำหรับทหารรบพิเศษแล้ว ถูกฝึกมาให้เป๊ะ และเปรี๊ยะ ตลอดชีวิต ด้วยชื่อของ “รบพิเศษ” ที่ค้ำคออยู่

ทั้งสภาพร่างกายที่แข็งแรง ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่ยากลำบาก สภาพร่างกายพร้อม 100% รบพิเศษต้องมีความพร้อมมากกว่าหน่วยอื่น ต้องกล้าหาญ ระเบียบวินัยต้อง 100% แบบที่เรียกว่า ต้อง “เปรี๊ยะ”

“นักรบพิเศษไทย ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น Top Man เป็นยอดคน เป็นยอดของสุดยอดของทหาร” บิ๊กเจี๊ยบ ระบุ

img_3928

แต่ไม่ได้มีแค่นั้น การเป็นทหารในสมัยก่อน อาจแค่แข็งแรง กล้าหาญ ยิงปืนแม่น แต่ปัจจุบัน ทหารต้องมีความรู้ตามตำแหน่งบทบาทและหน้าที่ และต้องลึกซึ้งในงานที่ทำ และต้องมีคุณธรรม จริยธรรมและยึดหลักธรรมาภิบาล

จึงจะได้ชื่อว่า เป็นนายทหารอาชีพ ยุคใหม่ ที่เป็น Smart Soldier ตามสไตล์บิ๊กเจี๊ยบ

แม้ พล.อ.เฉลิมชัย จะเป็น ผบ.ทบ. ที่โตมาจากสายทหารรบพิเศษ แต่ทว่าในวันนี้ เขามาเป็น ผบ.ทบ. ที่เป็น “ทบ.1” ของทหารใน ทบ. ทุกคน

บิ๊กเจี๊ยบ หลีกเลี่ยงที่จะสวมหมวกเบเร่ต์แดง แบบรบพิเศษ หากไปชายแดนหรือภาคสนาม หรือลงพื้นที่ เพราะวันนี้เขาเป็น ผบ.ทบ. ของทหารบกทุกคน ไม่ว่าเหล่าใด สายไหน

พล.อ.เฉลิมชัย จะใส่เบเร่ต์แดง เฉพาะเมื่อกลับถิ่นกำเนิด ไปตรวจหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ลพบุรี เท่านั้น

อันถือเป็นความภาคภูมิใจยิ่งของทหารรบพิเศษ ที่ได้มี ผบ.ทบ. มาจากสายเบเร่ต์แดง อีกครั้ง ในรอบ 10 ปี

 

ที่น่าจับตามองยิ่ง ทุกครั้งที่มี ผบ.ทบ. มาจากรบพิเศษ ก็มักจะมาในสถานการณ์ที่พิเศษๆ ทั้งสิ้น

ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ พล.อ.วิมล วงศ์วานิช ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. จากสายรบพิเศษคนแรก หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ช่วงวิกฤตศรัทธาต่อทหาร

ต่อด้วย บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ขึ้นมาอย่างพิเศษ ในปี 2541 เพราะขึ้นจากผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. แถมมีอายุราชการเหลือถึง 5 ปี แต่ก็เพราะมีแรงหนุนพิเศษจากป๋าเปรม ในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีการเอานายทหารในกรุตำแหน่งประจำ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. แถมอายุน้อย และเป็นยุคที่เฉียดการรัฐประหาร ก่อนที่จะมาอุบัติเมื่อ 19 กันยายน 2549 โดยที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็มีบทบาทสำคัญอยู่เบื้องหลัง

อันเป็นสถานการณ์พิเศษ ที่ทำให้ บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน สายรบพิเศษ ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. อีกเช่นกัน จนมาเป็นผู้นำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ทำให้ขั้วอำนาจในประเทศนี้ เปลี่ยนมือ จนมาเป็นอยู่เช่นทุกวันนี้

และมาวันนี้ 10 ปีให้หลัง พล.อ.ประยุทธ์ ให้เหตุผลในการเลือก พล.อ.เฉลิมชัย สายรบพิเศษ มาเป็น ผบ.ทบ. เพราะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่พิเศษ ในช่วงภาวะไม่ปกติ ช่วงเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนผ่าน

ที่เชื่อกันว่า ด้วยสถานการณ์พิเศษเช่นนี้ พล.อ.เฉลิมชัย ได้ถูกเลือกให้มาเป็น ผบ.ทบ. และจะนั่งยาว 2 ปีจนเกษียณตุลาคม 2561 โน่นเลย อันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองอีกด้วย

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า พล.อ.เฉลิมชัย และทีมรบพิเศษ “พลังเงียบ เฉียบขาด” และบ้านสี่เสาฯ จะบันทึกประวัติศาสตร์ชาติไทย ในสถานการณ์พิเศษ ใน พ.ศ. นี้เช่นไร