สรุปข่าวต่างประเทศ : 9พ.ค.มาเลเซียเลือกตั้ง / ตัดสินทหารพม่าฆ่าโรฮิงญา

มาเลเซีย

กัวลาลัมเปอร์ – สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (อีซี) ของมาเลเซียกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปของประเทศว่าจะมีขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ หลังจากมีการประกาศยุบสภาไปเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่เป็นผลให้ต้องจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ภายใน 60 วัน โดยอีซีจะเปิดให้มีการเสนอรายชื่อผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ในวันที่ 28 เมษายนนี้ นั่นหมายความว่าพรรคการเมืองต่างๆ จะมีเวลาในการรณรงค์หาเสียงเป็นเวลา 11 วัน

Malaysia’s Prime Minister Najib Razak, front right, sits besides his deputy Ahmad Zahid Hamidi, front left, at the parliament house in Kuala Lumpur, Malaysia, Wednesday, March 28, 2018. Najib is expected to seek parliamentary approval Wednesday for the new voting maps which critics said will worsen inequality among the constituencies and etch them based on racial lines. (AP Photo/Sadiq Asyraf)

กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้แก่ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านอย่างมาก เนื่องจากตรงกับวันธรรมดาซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี ที่อาจจะทำให้มีผู้ออกมาใช้สิทธิน้อย โดยพรรคฝ่ายค้านชี้ว่าเป็นความจงใจของอีซีที่จะช่วยให้กลุ่มบาริซัน เนชั่นแนล พรรคร่วมรัฐบาลของนายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคอัมโน ได้เปรียบที่จะคว้าชัยชนะ

การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญของรัฐบาลนายนาจิบที่ความนิยมถดถอยลงไปอย่างมากจากการเผชิญกรณีอื้อฉาวเรื่องการทุจริตยักยอกเงินกองทุนเพื่อการพัฒนามาเลเซีย (1เอ็มดีบี) มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่มีชื่อของนายนาจิบเข้าไปเกี่ยวข้อง ขณะที่รัฐบาลนายนาจิบยังเผชิญการท้าทายอย่างหนักจากนายมหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยังคงมีอิทธิพลบทบาทและร่วมนำพรรคฝ่ายค้านในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้กับพรรครัฐบาลนายนาจิบ

สหประชาชาติ

สหประชาชาติ – สำนักข่าวเอเอฟพีและบีบีซีรายงานว่า สถานการณ์สู้รบในประเทศซีเรียยังคงสร้างปัญหาบานปลาย ล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนเกิดเหตุโจมตีขึ้นที่เมืองดูมา พื้นที่ยึดครองของกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรีย เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 40 ราย ซึ่งมีเด็กอยู่ด้วยจำนวนมาก ท่ามกลางการกล่าวหาว่าเป็นการใช้อาวุธเคมีในการโจมตีและเชื่อว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลซีเรียของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด โดยรัฐบาลนายอัสซาดปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว ก่อนที่เมื่อต้นสัปดาห์นี้จะเกิดเหตุยิงจรวดโจมตีฐานทัพอากาศของกองทัพซีเรียในจังหวัดฮอมส์ ที่เชื่อว่าเป็นการตอบโต้รัฐบาลซีเรียกรณีเหตุโจมตีเมืองดูมาด้วยอาวุธเคมี โดยสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ลงมือโจมตีใส่ฐานทัพอากาศของกองทัพซีเรีย ขณะที่เหตุถล่มฐานทัพอากาศซีเรียเกิดขึ้นหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ออกมาทวีตเตือนซีเรียว่า “จะต้องมีการชดใช้ครั้งใหญ่” ต่อการใช้อาวุธเคมีโจมตีในเมืองดูมา

เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นส่งผลให้สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) 15 ชาติ จัดประชุมหารือกันเพื่อหาแนวทางจัดการในปัญหานี้ โดยการถกหารือในวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ยังคงเกิดเสียงแตกเป็นฝักฝ่าย โดยร่างข้อมติของสหรัฐที่เสนอให้ตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อสอบสวนเหตุโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรีย ถูกรัสเซียวีโต้คัดค้าน เช่นเดียวกับร่างข้อมติที่รัสเซียเป็นผู้ร่างขึ้น ซึ่งเสนอให้องค์การเพื่อการห้ามอาวุธเคมี (โอพีซีดับเบิลยู) ทำหน้าที่สอบสวนในกรณีนี้เองโดยไม่ต้องสร้างกลไกขึ้นใหม่นั้นก็ไม่ได้รับเสียงโหวตสนับสนุนที่มากพอ ส่งผลให้สวีเดนร้องขอให้มีการประชุมหารือแบบปิดก่อนที่จะมีการโหวตในร่างข้อเสนอต่อไปเพื่อหารือถึงแนวทางในการผลักดันเรื่องนี้ให้มีความคืบหน้า

พม่า

ย่างกุ้ง – สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ทหารพม่า 7 นาย ถูกตัดสินโทษจำคุกเป็นเวลา 10 ปีและให้ใช้แรงงานหนักจากการกระทำผิดในข้อกล่าวหาวิสามัญฆาตกรรมชายมุสลิมชาวโรฮิงญา 10 ราย ในเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านอินดิน ในรัฐยะไข่ ประเทศพม่า เมื่อวันที่ 2 กันยายนปีที่ผ่านมา จากการเปิดเผยของ พล.อ.อาวุโสมิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพพม่า ผ่านทางเพจเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 10 เมษายน โดยเหตุความรุนแรงดังกล่าวเป็นเพียงกรณีเดียวในสิ่งที่กองทัพพม่าออกมาแถลงยอมรับก่อนหน้านี้ว่าได้มีการใช้กำลังเข้าปราบปรามเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ที่เป็นผลให้มีชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญากว่า 700,000 คนต้องอพยพหนีภัยคุกคามไปยังประเทศบังกลาเทศ และกองทัพพม่ายังให้คำมั่นว่าจะนำตัวผู้เกี่ยวข้องมารับผิดชอบการกระทำผิดดังกล่าว

แฟ้มภาพ
/ AFP PHOTO / Suzauddin RUBEL

อย่างไรก็ตาม กองทัพพม่ายังย้ำว่าชายชาวโรฮิงญาที่ถูกสังหารในเหตุรุนแรงครั้งนั้นเป็นผู้ก่อการร้าย ทว่าทางกองทัพพม่าก็ไม่ได้แสดงหลักฐานใดๆ ที่มาสนับสนุนข้อกล่าวอ้างดังกล่าวของกองทัพ