‘รสนา’ แนะ’บิ๊กตู่’ ใช้ม.44พักงาน’บิ๊กป้อม’ ‘ธีระชัย’ ชี้ อย่าพยายามปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ

เมื่อวันที่ 174 ม.ค. นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสว.กทม. โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊กแสดงความเห็นกรณีกระแสวิจารณ์นาฬิกาหรูของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ซึ่งมีการชี้แจงว่าไม่ใช่นาฬิกาตนเอง แต่ยืนจากเพื่อนมา และคืนไปหมดแล้ว โดยระบุว่า

“ระยะทางพิสูจน์ม้า นาฬิกาพิสูจน์คนและกลไกรัฐ”

พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณตอบคำถามสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ (16 ม.ค 2561) เรื่องปมนาฬิกาหรูว่า

“เป็นการวนเอาเรือนเก่ามา ผมไม่มีหรอก ผมมีเพื่อน เพื่อนเอามาให้ผมใส่แค่นั้นเอง และก็คืนเขาทั้งหมดทุกเรือน” และ “ไม่เป็นไร ขอให้ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบ ถ้าชี้ผมผิด ผมก็ออก การทำงานของ ป.ป.ช.ไม่สามารถแทรกแซงได้ เพราะเขามีการดำเนินงานเป็นขั้นตอนของเขา”

คนที่ได้ฟังคำชี้แจงหรือแก้ตัวนี้ล้วนไม่มีใครเชื่อ ยิ่งบอกว่าป.ป.ช ไม่มีใครแทรกแซงได้ สังคมยิ่งมีข้อกังขา ดังที่รู้ๆกันใช่หรือไม่

เมื่อนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์ว่า “ปัญหาเรื่องนาฬิกาต่างๆ ที่นักการเมืองออกมาพูด ขอให้กลไกได้ดำเนินการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความชัดเจน ขอร้องว่าช่วงนี้อย่าใช้วาทกรรมเหล่านี้มาสร้างเวทีทางการเมือง และ พล.อ.ประวิตรก็พร้อมที่จะตอบเรื่องเหล่านี้ด้วย”

แต่กลไกที่ท่านนายกฯกล่าวถึง ไม่สามารถทำงานได้ ถ้าการทุจริตเกิดขึ้นในระดับสูง จึงต้องใช้กลไกทางบริหารด้วย ดังเหตุผลที่ท่านนายกฯเคยใช้มาตรา44ในการโยกย้ายและ ยุติการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ และข้าราชการท้องถิ่น 71 คนว่า

“ยังไม่ถือว่าทั้งหมดมีความผิด เป็นการรวบรวมรายชื่อที่มีการร้องเรียนอยู่ในกระบวนการตรวจสอบทั้งหมด ถ้าเรื่องไหนที่สำคัญมากๆ หรือเป็นปัญหาใหญ่ก็จำเป็นต้องรื้อตำแหน่งระดับสูงให้ขยับออกมาก่อน เพื่อให้เกิดการสอบสวน หาพยานหลักฐานในเชิงประจักษ์ให้ได้ แต่ถ้าไม่ผิดก็กลับมาที่เดิม”

ยกตัวอย่างการใช้มาตรา44 ปลดผู้ว่า กทม.ออกจากตำแหน่ง และตั้งคนที่รัฐบาลคสช.ต้องการ ก่อนที่จะมีการแจ้งข้อกล่าวหา หรือดำเนินการตามกลไกกฎหมาย หรือการโยกย้ายข้าราชการทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นออกจากตำแหน่งไปหลายร้อยคน ไม่มีข้อมูลรายงานผลการสอบสวนใดๆว่าแต่ละกรณีทุจริตหรือไม่อย่างไร

หลายคนถูกให้ออกจากตำแหน่งไปโดยไม่มีการสอบสวนความผิดจนเกษียณอายุราชการไปยกตัวอย่างเลขาธิการสปสช.นายกฯให้พ้นตำแหน่งจนเกษียณอายุราชการ แต่ไม่มีการเรียกสอบสวนเลย ปิดคดีไปดื้อๆ หรือกรรมการกองทุนสสส.หลายคนที่ถูกให้ออกตามมาตรา44 และต่อมาสอบแล้วไม่พบว่ามีเรื่องทุจริต

เมื่อท่านนายกฯเคยกล่าวว่า “ถ้าเรื่องไหนที่สำคัญมากๆ หรือเป็นปัญหาใหญ่ก็จำเป็นต้องรื้อตำแหน่งระดับสูงให้ขยับออกมาก่อน เพื่อให้เกิดการสอบสวน หาพยานหลักฐานในเชิงประจักษ์ให้ได้ แต่ถ้าไม่ผิดก็กลับมาที่เดิม”

ดังนั้น มาตรฐานเดียวกันนี้ จึงควรนำมาใช้กับกรณีของพล.อ ประวิตร เพื่อสอบให้ได้ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ เหมือนกับที่ท่านเคยทำกับคนอื่นๆมาแล้ว

การที่ประชาชนตรวจสอบก็เพื่อให้กลไกของภาคตัวแทนทั้งภาคการเมือง ภาคราชการและองค์กรอิสระต่างๆที่มีหน้าที่ให้ทำงานด้วยความบริสุทธ์ ยุติธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งที่ประชาชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ไม่ใช่วาทกรรม ถ้าเรื่องนี้จะเป็นวาทกรรม ก็ขอให้ท่านนายกฯนึกถึงวาทกรรมของคนโบราณที่ว่า “ช้างตายทั้งตัว อย่าเอาใบบัวปิด” เพราะทุกคนย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น ไม่อาจจะหนีพ้นได้ ไม่ว่าจะใหญ่โตแค่ไหน

และเรื่องนาฬิกานี้ก็จะเป็นบทพิสูจน์ว่าทั้งคนและกลไกภาครัฐในการปราบโกงจะเป็นกลไกที่ได้รับความเชื่อถือ หรือจะเป็นเพียงปาหี่ให้มหาชนโห่เท่านั้น !!?

ด้านนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แชร์ข้อความของนส.รสนา พร้อมระบุว่า ที่ผมเขียนว่า คำพูดของ พล.อ. ประวิตร ทำให้มีความขัดเจนในทางการเมืองถึงจุดที่ พล.อ. ประยุทธ์ จะต้องแสดงจุดยืนของท่านให้ประชาชนเห็นชัดๆ ได้แล้ว นั้น บัดนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว

ถึงแม้ข้อมูลจะมากพอ และท่านย่อมจะมีความเห็นแล้ว แต่ท่านกลับโบ้ยไปที่กลไกการตรวจสอบ และพยายามปิดฟ้าด้วยฝ่ามือไม่ให้นักการเมืองออกมาวิจารณ์ แถมยังเน้นอีกว่า พล.อ. ประวิตรจะตอบเรื่องนี้ เป็นท่าทีรับประกันว่า จะไม่มีคำตอบแบบโอเว่อร์ เอ๋อมั่ว

การแสดงจุดยืนออกมาอย่างนี้ ผมคิดว่าทำให้ท่านหมดความชอบธรรมในการเป็นผู้นำของประเทศเราไปพร้อมกับ พล.อ ประวิตร