เผยแพร่ |
---|
“อุปกิต” มึนปัดไม่รู้จัก “เอ็ดดี้” แต่นัดจ่ายเงินค่าซื้อโรงแรมที่เขมร ยอมรับ “พีระพันธุ์”เช่าตึก ซ.อารีย์คนแรก บอกเอาไปทำออฟฟิศส่วนตัว ไม่ได้ทำพรรคการเมือง ยันไม่รู้จักจักบิ๊ก “ส.” ในสตช. ถ้ารู้จักลูกเขยคงไม่ติดคุก ยันไม่ลาออก ส.ว. แน่นอนเดี๋ยวเข้าทางคนปรักปรำ
เมื่อเวลา 10.10 น. วันที่ 17 มีนาคม ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการแถลงข่าว นายอุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชาคริส กาจกำจรเดช ซึ่งนายอุปกิตแจ้งต่อ ป.ป.ช.ว่ามีเอกสารสัญญาซื้อขายกิจการโรงแรมในเมียนมาให้นั้นเป็นใคร ว่า เป็นคนที่เคยเช่าอัลลัวร์ รีสอร์ท โฮเทล ท่าขี้เหล็ก และเป็นหุ้นส่วน 15 % ของบริษัทอัลลัวร์ฯ ในขณะที่ตนเคยทำอยู่
เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าไม่ได้มีการขายหุ้นโรงแรมอัลลัวร์ฯ จริง นายอุปกิต กล่าวว่า จริงๆ แล้ว เป็นความรวดเร็วและความสะเพร่าของตน ซึ่งจริงๆ แล้วตนตั้งใจจะขายให้นายชาคริส ก่อนที่ตนจะมารับตำแหน่งวุฒิสมาชิก ซึ่งจริงๆ แล้วตนอาจจะคิดผิดเพราะการถือหุ้นความจริงไม่ได้ผิดกฎหมาย เพราะอยู่นอกประเทศ แม้กระทั่งนายโดนัล ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ยังเป็นเจ้าของธุรกิจนอกประเทศ แต่ตนไม่อยากมีข้อครหาจึงได้เซ็นสัญญาซื้อขายกับนายชาคริส เพราะตนตั้งใจจะขายเขาอยู่แล้ว ในสัญญาระบุว่าถ้าใครคนหนึ่งผิดเงื่อนไขก็ถือว่าโมฆะ แต่ในที่สุดตนไม่ได้ขายให้นายชาคริส ตนจึงได้โอนให้กับลูกเขยของตนเพื่อเตรียมขายต่อไป
เมื่อถามว่าอีกว่ารู้จักนายพันณรงค์ ขุนพิทักษ์ หรือเอ็ดดี้หรือไม่ และมีการขายหุ้นกันอย่างไร นายอุปกิต กล่าวว่า ตนไม่เคยรู้จักนายเอ็ดดี้เลย แต่ตอนหลังทราบจากสื่อว่านายเอ็ดดี้ทำออนไลน์ ตนถึงสงสัยว่าทำไมสื่อจึงพยายามที่จะชี้นำไปว่าตนทำธุรกิจออนไลน์หรือไม่ แต่สื่อได้ตัดสินตนไปแล้วว่าเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ตนเอาคอมพิวเตอร์ไปทำไมหลายเครื่อง โดยกล่าวหาว่านำเข้าไปในเมียนมาเป็นร้อยเครื่อง แต่ในความเป็นจริงแล้วในสมัยนั้นพม่ายังไม่มีไฟฟ้า แต่มีการนำคอมพิวเตอร์เข้าไปไม่กี่เครื่อง เพื่อทำระบบห้องอาหาร และอื่นๆ ไม่ใช่เอาคอมพิวเตอร์ไปทำออนไลน์
นายอุปกิต กล่าวต่อว่า เมื่อเกิดเรื่องขึ้นตนทราบตามข่าวว่านายเอ็ดดี้หนีไปต่างประเทศเพราะติดต่อกันไม่ได้ โดยทราบว่านายเอ็ดดี้ยังไม่เคยเข้าไปดำเนินการในโรงแรม เพราะด่านปิดเนื่องจากสถานการณ์โควิด และด่านปิดเกือบ 3 ปี ตนจึงไม่สามารถขายโรงแรมให้กับนายชาคริสได้ และเมื่อตนโอนให้กับลูกเขยแล้ว ซึ่งลูกเขยตนก็เตรียมขายให้กับนายเอ็ดดี้ แต่ตนไม่รู้ว่าธุรกิจออนไลน์ของนายเอ็ดดี้ได้เงินมหาศาล แต่อ่านตามข่าวว่าคนโน้นคนนี้มีเงินเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านบาท บางข่าวบอกว่าตนฝากเงินให้นายเอ็ดดี้ไปฟอก ซึ่งตนเห็นว่าข่าวปั้นกันไปหมด ไม่มีความจริง ตนไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร ในฐานะที่เป็น ส.ว.ตนต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินเมื่อเข้ามาเป็นส.ว.และจะต้องแจ้งอีกครั้งหลังพ้นตำแหน่ง ส.ว. แต่ระหว่างดำรงตำแหน่งไม่มีให้แจ้ง
“นายเอ็ดดี้น่าจะมีเงินเยอะ เขามาซื้อโรงแรมผมด้วยเงินสด แล้วบอกว่าจะขอจ่ายผมที่กัมพูชา ผมก็ยังสงสัยอยู่ แต่ขอถามทุกคนว่าเงินเป็นงูหรือเปล่า คนจะเอาเงินมาให้เรา แล้วไม่รู้แบล็กกราวด์เขาที่บอกจะจ่ายที่ต่างประเทศที่กัมพูชา แล้วผมจะไม่รับหรือ เพราะธุรกิจของผมก็อยู่ต่างประเทศคือพม่า และการจ่ายเงินของธุรกิจในต่างประเทศ ไม่ได้มีอะไรแปลกเลย และนายเอ็ดดี้ไม่ได้ซื้อแบบนี้กับผมคนเดียว เขาไปซื้อจีน่า โกลเด้นท์บนเขา ก็จ่ายเงินสดทั้งนั้น โดยเขาซื้อพร้อมกัน 3-4 แห่ง เขาไม่ซีเรียสเรื่องสัญญา แต่ผมเป็นคนบอกให้ทำสัญญากันอย่างถูกต้อง ซึ่งอาจจะดูแปลกๆ แต่คนที่ทำออนไลน์หรือการพนัน เงิน 200-300 ล้านบาท ผมคิดว่าเป็นเงินธรรมดาของเขาที่เขาทำได้”นายอุปกิต กล่าว
เมื่อถามว่าที่มีการเชื่อมโยงทางการเมืองหรือถูกใช้เป็นเกมการเมือง เกี่ยวข้องกับ การที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นสมาชิกพรรคอยู่ ไปเช่าตึกของนายอุปกิตเป็นที่ทำการพรรคหรือไม่ นายอุปกิต กล่าวว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องการเมืองตามที่ตนได้กล่าวไปแล้ว ส่วนตึกที่พรรคของนายกรัฐมนตรีใช้อยู่ ยอมรับว่าเป็นของตน แต่มีคนให้ตนซื้อตึกนี้ไว้ เนื่องจากมีเหตุการณ์โควิด เจ้าของบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้เป็นออฟฟิศแล้ว ซึ่งเป็นบริษัทที่ตนเคยบริหาร เขาขอร้องให้ตนซื้อไว้ โดยตนซื้อในราคาตลาด เขาทำยังไม่เสร็จ ตนก็มาจ่ายค่าก่อสร้างต่อ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว และตนไม่ได้ทำธุรกิจแล้ว จึงได้เปิดให้เช่า และคนที่มาเช่าตึกนี้คือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครทสช. ซึ่งตนไม่ทราบว่าเขาจะเอาไปทำพรรคการเมือง เนื่องจากเช่ามา 1 ปีก่อนที่จะมีการจัดตั้งพรรคนี้
“ถ้าจะให้ยุติธรรมผมไม่รู้จักพล.อ.ประยุทธ์เป็นการส่วนตัว ท่านไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และผมให้พรรครวมไทยสร้างชาติเช่าอย่างถูกต้อง มีสัญญาเช่าถูกต้อง และเบื้องต้นผมไม่ทราบว่าเขาจะเอามาทำพรรคการเมือง ผมเลยเป็นเหยื่อของการเมือง” นายอุปกิตกล่าว
เมื่อถามว่าทำไมบอกว่าไม่รู้จักกับนายกรัฐมนตรี เพราะในการแต่งตั้งเข้ามาเป็น ส.ว. อย่างน้อย ก็ต้องรู้จักกับ คสช. มาก่อน นายอุปกิต กล่าวว่า ตนไม่ได้รู้จักสนิท แต่ตนคาดว่าสาเหตุที่เขาเลือกตนเป็น ส.ว.ก็เพราะตนมีความชำนาญด้านการต่างประเทศ และชำนาญด้านการไฟฟ้า
ต่อข้อถามว่ามองว่าความเชื่อมโยงนี้จะเป็นการพุ่งเป้าไปที่นายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ นายอุปกิต กล่าวว่า ก็ดูเหมือนอย่างนั้น ส่วนเรื่องสัญญาเช่าอาคาร ตนมีหลักฐานพิสูจน์อยู่แล้วถ้าต้องพิสูจน์ ซึ่งตนเข้าใจว่าการไปจดทะเบียนพรรคการเมือง ถ้าไม่มีสัญญาเช่าอาคาร เขาจะไปจดได้หรือไม่ ซึ่งตนไม่ทราบ แต่คิดว่าถ้าเขาไม่มีสัญญาเช่า หรือซื้อขายอาคาร ก็ไม่คิดว่าจะไปจดทะเบียนพรรคได้ แต่ยืนยันว่าเรื่องการเช่าตึกเกิดขึ้นเป็นปีแล้ว โดยคนที่มาเช่าคนแรกคือนายพีระพันธุ์ ซึ่งบอกว่าเอาไปทำออฟฟิศส่วนตัว ตอนนั้นเขาไม่ได้มีตำแหน่งอะไร ทั้งนี้เคยรู้จักกันสมัยก่อนแต่ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว การติดต่อกันอีกครั้งหนึ่งเพราะตนติดป้ายไว้ที่ตึกว่าให้เช่า และตึกนี้อยู่ใน ซอยอารีย์สัมพันธ์ ซึ่งเป็นซอยที่คิดว่ามีความหลังเกี่ยวกับการเมืองเยอะ เขาน่าจะขับรถผ่านไปมาแล้วเห็น จึงโทรศัพท์เข้ามาเช่าเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรใหญ่โตอย่างที่ถูกกล่าวหาว่าตนไปเป็นผู้สนับสนุนพรรคดังกล่าว เพราะตนทราบหน้าที่ดีว่า ส.ว. ไม่ควรและไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคการเมืองได้
เมื่อถามว่าทำไมถึงมองว่าตัวเองเป็นเหยื่อทางการเมือง เรามีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องอะไรกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น นายอุปกิต กล่าวว่า ตนไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรเลย ตนถึงบอกว่าตนเป็นเหยื่อ มาปั้นเรื่องปั้นข่าวปั้นหลักฐาน ซึ่งตนอธิบายไปแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ใครเป็นอย่างไร เมื่อถามอีกว่าในเรื่องของหมายจับรอบที่ 2 มีการตั้งข้อสังเกตว่านายอุปกิตมีความสัมพันธ์กับคนระดับที่สามารถถอนหมายจับได้โดยเฉพาะคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) นายอุปกิต กล่าวว่า ถ้าผู้ใหญ่ใน สตช.จะช่วยก็คงช่วยมาตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ปล่อยให้ลูกหลานตนติดคุกติดตะราง 7 เดือนแล้ว ซึ่งตำรวจสามารถปล่อยได้ทันทีตั้งแต่วันที่จับแล้ว ถ้าจะจับแล้วตนมีเส้นสายก็ต้องแจ้งตนล่วงหน้า เหมือนกับที่นายเอ็ดดี้ทราบแล้วก็หนีไปแล้ว ส่วนที่มีการกล่าวอ้างว่าตนมีความสัมพันธ์กับบิ๊กตำรวจอักษรย่อ ส.นั้น ถ้ามีความสัมพันธ์กันและเขาอยากช่วยตน เขาคงไม่มาจับลูกเขยตน ทำให้ตนมีความเศร้าใจ และลำบากใจอยู่ถึงทุกวันนี้
เมื่อถามว่ายินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่ นายอุปกิต กล่าวว่า ตนต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว เพราะเป็นกระบวนการที่ตนมีความหวัง และตนเคารพอยู่ ตนคิดว่าทุกคนในประเทศนี้ควรจะเคารพกฎระเบียบและกฎหมาย ถ้าไม่เคารพ ก็จะเกิดเรื่องวุ่นวาย
เมื่อถามว่าที่ระบุว่ามีเครือข่ายเกี่ยวพันกับพรรคก้าวไกลทั้งตำรวจ ทนายความและสื่อมวลชน จะดำเนินการในเรื่องคดีอย่างไร นายอุปกิต กล่าวว่า ตอนนี้ยัง เพราะตอนนี้มีคดีอีกเยอะ ที่ตนต้องดำเนินคดีกับสื่อมวลชนหลายคน ที่ตนต้องดำเนินการฟ้อง เพื่อปกป้องเกียรติศักด์ศรีของตน ซึ่งสื่อมวลชนทั่วไปตนไม่ฟ้อง แต่มีอยู่ 2-3 สื่อเท่านั้น ที่จ้องเล่นงานตนอย่างเดียว ตนไม่ทราบว่าไปทำอะไรให้เขา แต่มันก็เป็นเหมือนกับขบวนการ เห็นอยู่แล้วว่าใครด่าตนทุกวัน ปั้นเรื่องอยู่ตลอดเวลา ปกติตนไม่ใช่เป็นคนที่หิวแสง ไม่ชอบให้สัมภาษณ์ ตนชอบอยู่เงียบๆ จะเกษียณอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่าในกรณีที่เครือญาติของนายอุปกิตมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายค้ายาเสพติด ซึ่งนายอุปกิตได้แสดงความไม่พอใจ และย้อนถามผู้สื่อข่าวที่ตั้งคำถามว่ามาจากสื่อไหน แต่ผู้สื่อข่าวก็พยายามถามว่าในฐานะที่เครือญาติเกี่ยวพันกับขบวนการค้ายาเสพติดและมีกล่าวหานายอุปกิต ซึ่งอาจไม่สวยงามต่อสถาบันนิติบัญญัติ คิดที่จะลาออกจากตำแหน่ง ส.ว.หรือไม่ นายอุปกิต กล่าวว่า ตนก็คิดที่จะลาออก แต่ถ้าตนลาออก ก็เท่ากับตนผิด ตนสามารถที่จะปกป้องเกียรติตนได้ด้วยการไม่ลาออกจาก ส.ว. การลาออกเป็นประโยชน์อะไร จริงๆ แล้ว ถ้าตนทำผิดก็สามารถที่จะทำหนังสือถึงประธานรัฐสภา เพื่อขอตัวไปดำเนินคดีได้ แต่ตนไม่อยากที่จะไปเข้าทางใคร ไม่ใช่ว่าพอมาปรักปรำกัน แต่ยังไม่มีการพิสูจน์ ก็ลาออก