“วิกเตอร์ บูท” คือใคร สำคัญต่อรัสเซียยังไง จึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตัวคืน

วิกเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธคนดังที่ฮอลลีวูดนำไปสร้างหนัง กลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง หลังมีข่าวเมื่อกลางปีที่ผ่านมาว่า สหรัฐอาจใช้เป็นนักโทษแลกเปลี่ยนกับนักบาสดังชาวอเมริกันที่ถูกรัสเซียจับไว้

ล่าสุด บริตนีย์ ไกรเนอร์ นักบาสเกตบอลสาวชื่อดังของลีคดับเบิลยูเอ็นบีของสหรัฐ วัย 31 ปี ที่ถูกศาลรัสเซียพิพากษาจำคุก 9 ปีในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด ได้รับการปล่อยตัวแล้ว ภายใต้ข้อตกลงแลกตัวกับนายวิคเตอร์ บูท นักค้าอาวุธชื่อดังชาวรัสเซีย ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกสหรัฐนาน 12 ปี

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ เป็นผู้แถลงข่าวดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม โดยระบุว่าไกรเนอร์ปลอดภัยและกำลังอยู่บนเครื่องบินเพื่อเดินทางกลับบ้านจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเขาดีใจที่จะบอกว่าไกรเนอร์มีกำลังใจดี แต่เธอต้องการเวลาและพื้นที่ในการฟื้นตัว

ขณะที่สื่อรัสเซียรายงานว่า บูท พ่อค้าอาวุธคนดังของรัสเซียที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางว่าเป็น “พ่อค้าความตาย” ได้เดินทางกลับถึงกรุงมอสโกแล้ว

 

สหรัฐฯยอมปล่อยตัวพ่อค้าความตาย

รายงานข่าวระบุว่า บูทเดินลงมาจากบันไดเครื่องบินพร้อมช่อดอกไม้ ก่อนที่จะสวมกอดกับแม่และภรรยาของเขา โดยเขาพูดกับนักข่าวสั้นๆ หลังเครื่องบินลงจอดที่รัสเซียว่า “ในเวลากลางดึก พวกเขาปลุกผมและพูดว่าไปเก็บของสิ ก็แค่นั้น”

ทั้งนี้ ไกรเนอร์ถูกจับที่สนามบินในกรุงมอสโกในเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากมีน้ำมันกัญชาในครอบครอง ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปยังทัณฑสถานในเดือนพฤศจิกายน ด้านฝ่ายบริหารของไบเดนได้เสนอให้มีการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษในเดือนกรกฎาคม เพราะตระหนักดีว่ารัสเซียได้ร้องขอให้มีการปล่อยตัวบูทมานานแล้ว

การแลกเปลี่ยนตัวนักโทษทั้งสองเกิดขึ้นหลังจากเครื่องบินส่วนตัว 2 ลำจากมอสโกและวอชิงตัน ได้นำทั้งคู่ไปยังสนามบินในอาบูดาบี จากนั้นทั้งสองคนต่างแยกย้ายกันเพื่อเดินทางกลับบ้าน

ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่า เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซิซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ ทรงมีบทบาทนำในความพยายามไกล่เกลี่ยร่วมกับประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด อัล-นาห์ยัน ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ด้านคารีน ฌอง-ปีแอร์ โฆษกทำเนียบขาว ออกมายืนยันว่า ไม่มีการไกล่เกลี่ยใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ประเทศเดียวที่เจรจาในข้อตกลงนี้คือสหรัฐและรัสเซีย

อย่างไรก็ดีทนายความของบูทระบุว่า ตั้งแต่เริ่มต้นการเจรจา สหรัฐต้องการตัวพลเมือง 2 คนกลับประเทศ ขณะที่กระทรวงต่างประเทศรัสเซียบ่นว่า สหรัฐปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่จะเข้าร่วมในการเจรจา

ในที่สุดไบเดนก็เป็นผู้ลงนามในคำสั่งให้ปล่อยตัวบูท ซึ่งมีโทษจำคุก 25 ปีในสหรัฐ เพื่อแลกตัวกับไกรเนอร์

นายจอห์น โบลตัว อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ ประณามข้อตกลงดังกล่าวว่าไม่ใช่การแลกเปลี่ยนแต่เป็นการยอมจำนนโดยฝ่ายบริหารภายใต้การนำของไบเดน และว่า ผู้ก่อการร้ายและอันธพาลทั่วโลกจะทราบเรื่องนี้ มันจะเป็นอันตรายต่อชาวอเมริกันคนอื่นๆ ในอนาคต

 

ย้อนดู วิกเตอร์ บูท คือใคร 

วิกเตอร์ บูท เกิดที่ทาจิกิสถาน เมื่อ พ.ศ.2510 มีบิดาเป็นช่างซ่อมรถยนต์ ขณะที่มารดาเป็นนักบัญชี เขามีพี่ชาย 1 คนด้วย แต่ไม่มีข้อมูลเปิดเผยมากนัก

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ แดร์ ชปีเกล ของเยอรมนีเมื่อปี 2553 นายบูทในวัยเด็กเป็นคนชอบความท้าทาย ก๊อบปี้เพลงเถื่อนขายเพื่อหาเงินค่าขนมเข้ากระเป๋า และเรียนภาษาสเปนด้วยตัวเอง เพราะเชื่อว่าสักวันจะมีประโยชน์ ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมสหภาพเยาวชนของพรรคคอมมิวนิสต์ และได้เข้าเรียนภาษาที่สถาบันภาษาต่างประเทศแห่งโซเวียต ในกรุงมอสโก

ระหว่างที่อยู่ในกองทัพ วิกเตอร์ บูท ได้เรียนภาษาโปรตุเกสและถูกส่งไปเป็นล่ามที่ประเทศโมซัมบิกกับแองโกลา แต่หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี เขาก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่มองเห็นโอกาสทำกำไรท่ามกลางความวุ่นวาย จึงผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจ ใช้เงินที่สะสมไว้ซื้อเครื่องบินลำเลียง AN-8 จำนวนหนึ่ง เพื่อตั้งธุรกิจขนส่งทางอากาศ และทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำกันคือ ยินดีเข้าไปในเขตสงครามและรัฐที่ล้มเหลว

จนถึงปี 2543 นายบูทกลายเป็นนักขนส่งอาวุธที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุด จนถูกเรียกด้วยฉายา ‘พ่อค้าความตาย’ ในรัฐสภาอังกฤษ แม้จะมีบางครั้งที่เขาทำธุรกิจถูกกฎหมายให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศส, สหประชาชาติ และสหรัฐฯ แต่ตามการเปิดเผยขององค์กรนิรโทษกรรมสากล มีหลายครั้งเช่นกันที่เขาละเมิด หรือมีส่วนสนับสนุนให้เกิดการละเมิดคำสั่งของสหประชาชาติที่ห้ามค้าอาวุธในแองโกลา, เซียร์ราลีโอน, ไลบีเรีย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

นายบูทยังถูกสหประชาชาติระบุชื่อในรายงานว่า เป็นผู้จัดหาอาวุธหนักให้แก่กลุ่มกบฏที่เคลื่อนไหวในแองโกลา รวมถึงอดีตประธานาธิบดี ชาร์ลส์ เทย์เลอร์ แห่งไลบีเรีย ผู้ถูกตัดสินในปี 2555 ว่ามีความผิดฐาน สนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมสงครามระหว่างเหตุสงครามกลางเมืองในเซียร์ราลีโอน

พ่อค้าอาวุธรายนี้ยังยอมรับด้วยว่า เขาเคยไปอัฟกานิสถานในช่วงปี 1990 แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า เขาจัดหาอาวุธให้แก่กลุ่มตาลีบัน ขณะที่เอกสารหลายฉบับชี้ว่า บริษัทของนายบูทเป็นหนึ่งในผู้ทำสัญญากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขนส่งเสบียงกองทัพเข้าสู่อิรัก หลังจากอเมริกันเข้ารุกรานในปี 2546

นาย ลี โวเลนสกี อดีตเจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ในยุครัฐบาลประธานาธิบดี บิล คลินตัน ซึ่งริเริ่มความพยายามทำลายเครือขายของนายบูท ระบุว่า ความเคลื่อนไหวของนายบูทเริ่มเตะตารัฐบาล เพราะการกระทำของเขาขัดขวางกระบวนการสันติภาพในแอฟริกาที่นายคลินตันพยายามผลักดัน “ในบางกรณี เขาติดอาวุธให้ทั้งสองฝ่ายเพื่อสร้างความขัดแย้ง”

นายบูทถูกกดดันอย่างหนักจากนานาชาติ ที่ต้องการตัวเขามาดำเนินคดี รวมถึงหมายจับของตำรวจสากลที่ออกในปี 2547 ทำให้เขาตัดสินใจกลับรัสเซีย และลดบทบาทในธุรกิจค้าอาวุธของตัวเองลง แล้วไปอาศัยอยู่ที่เมือง โกลิตซีโน เมืองเล็กๆ นอกกรุงมอสโก โดยเพื่อนคนหนึ่งซึ่งได้ไปเยี่ยมเขาในปี 2551 ระบุว่า ในบ้านเต็มไปด้วยหนังสือและดีวีดีภาพยนตร์เรื่อง ‘Lord of War’ ที่ว่ากันว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตของเขา

 

จนมุมที่ประเทศไทย 

แต่โชคไม่ดีสำหรับนายบูท เพื่อนคนนั้น ซึ่งก็คือนาย แอนดรูว์ สมูเลียน อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของแอฟริกาใต้ ปัจจุบันทำงานให้กับ DEA หรือสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐฯ ทำการล่อซื้ออาวุธมากมายจากนายบูท ทั้ง มิสไซล์ภาคพื้นสู่อากาศ 100 ลูก, ปืนไรเฟิล AK-47 จำนวน 20,000 กระบอก, ระเบิดมือ 20,000 ลูก, ปืนครก 740 กระบอก, ไรเฟิลซุ่มยิง 2350 กระบอก, ระเบิด ซีโฟร์ (C4) จำนวน 5 ตัน และเครื่องกระสุนอีก 10 ล้านลูก โดยหลอกว่าจะเอาไปให้กบฏ FARC ในโคลอมเบีย

หลังจากทั้งสองฝ่ายหารือกันเรื่องการขนส่งอาวุธได้ไม่นาน นายบูทได้เดินทางมายังประเทศไทย และถูกทางการไทยจับกุมตัว ก่อนจะถูกส่งตัวไปดำเนินคดีในสหรัฐฯ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากรัสเซีย อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ตั้งข้อหาเขาได้แค่ ต้องสงสัยเชื่อมโยงกับการทำข้อตกลงค้าอาวุธ และตัดสินลงโทษจำคุกเขา 25 ปี ในปี 2555 ด้วยข้อหาก่อการร้าย ซึ่งเป็นโทษขั้นต่ำสุด เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่านายบูทกระทำความผิด นอกจากที่โดนปฏิบัติการล่อซื้อ

กระทรวงต่างประเทศรัสเซียคัดค้านคำพิพากษาของนายบูทมาตลอด ระบุว่าเป็นข้อกล่าวหาที่มีแรงจูงใจทางการเมือง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า สาเหตุที่มอสโกต้องการตัวนายบูทคืนอาจไม่ได้มีสาเหตุมาจากเรื่องความไม่เป็นธรรมในการดำเนินคดี แต่เป็นเพราะเขามีความเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรองของกองทัพรัสเซีย

 

ความลับข้อมูลล้ำค่่า

อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ ระบุว่า ครึ่งหนึ่งนายบูทเคยทำงานให้กับ สำนักงานข่าวกรองรัสเซีย หรือ GRU ซึ่งไม่ได้มีชื่อเสียงมากเท่ากับ KGB หรือ FSB ในอดีต นอกจากนั้นยังมีรายงานด้วยว่า นายบูทมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนาย อิกอร์ เซชิน อดีตรองนายกรัฐมนตรีรัสเซียและพันธมิตรของประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน โดยทั้งคู่เคยเป็นทหารของกองทัพโซเวียตในแอฟริกาช่วงยุค 80 แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธความสัมพันธ์กับ GRU และนายเซชินก็ตาม

ข้อมูลล้ำค่าที่เชื่อกันว่านายบูทครอบครองอยู่คือ ความรู้เรื่องชะตากรรมของคลังอาวุธขนาดใหญ่ของสหภาพโซเวียต โดยนาย ดักลาส ฟาราห์ ประธานบริษัทความมั่นคง IBI Consultants กล่าวว่า นายบูทขนส่งอาวุธมานานนับสิบปี จากสถานที่ต่างๆ อย่างเช่น ยูเครน

หรือ การระบุชื่อนายบูทในการแลกเปลี่ยนนักโทษ อาจเป็นการตอบแทนพ่อค้าอาวุธรายนี้ เพราะเขาไม่เคยปริปากหรือให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เลย แม้จะถูกคุมขัง และแยกเดี่ยวมานานกว่าทศวรรษ ในเรือนจำที่ห่างจากบ้านเกิดหลายพันไมล์ การปล่อยตัวนายบูทยังเป็นการส่งข้อความถึงคนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญปัญหาคล้ายกันว่า มาตุภูมิไม่เคยลืมพวกเขา