‘สุพันธุ์’ แจงเงินบาทไม่ได้อ่อน แต่ดอลล่าร์แข็ง เบรก กนง.ขึ้นดอกเบี้ย เพิ่มภาระคนตัวเล็ก

‘สุพันธุ์’ แจงเงินบาทไม่ได้อ่อน แต่ดอลล่าร์แข็ง ต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส หารายได้เข้าประเทศเพิ่ม เบรก กนง. ขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มภาระคนตัวเล็ก

 

วันนี้ 21 กันยายน 2565 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงปรากฎการณ์เงินบาทอ่อนค่าที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นอีก 0.75% การอ่อนตัวลงของค่าเงินบาทไทยครั้งนี้ส่งผลให้เงินทุนสำรองของไทยลดมูลค่าลงไปทันทีจาก 2.78 แสนล้านดอลลาร์ เหลือ 2.4แสนล้านดอลลาร์ สร้างความวิตกกังวลต่อหลายฝ่าย ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าวันที่ 28 กันยายนที่จะถึงนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกประมาณ 0.25-0.5% หรือหมายความว่าภายใน ครึ่งปีหลัง กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ประมาณ 0.75% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากในสังคม

นายสุพันธุ์ กล่าวว่า จริงๆ แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เงินบาทอ่อนเกินไป แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจาก ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นแข็งเกินไป เพราะถ้าหากดูสัดส่วนอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ความเป็นจริงคือค่าเงินบาทไทยนั้นถือว่าแข็งกว่าหลายสกุลเช่น เงินบาทไทยต่อเยน หรือ เงินบาทไทยต่อปอนด์ แต่ปัญหาใหญ่เป็นเพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งเกินไป

นายสุพันธุ์ระบุว่าหาก กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยตามเฟดนั้นจะไม่ได้แก้ปัญหาอะไร แต่จะนำมาซึ่งปัญหาที่มากขึ้นคือประชาชนจะไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย การลงทุนก็อาจมีแนวโน้มที่ต่ำลง แต่สิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลควรทำนั้นไม่ใช่การเล่นกลทางการเงินแต่เป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศ และ พลิกวิกฤตนี้เป็นโอกาส

นายสุพันธุ์มองว่า สิ่งแรกที่รัฐบาลควรทำคือการสนับสนุนการส่งออกให้กับธุรกิจในประเทศ เพราะเมื่อค่าเงินอ่อนลง การส่งออกจะเติบโตได้มากขึ้นแต่ปัญหาจะติดอยู่ที่ต้นทุนการผลิตของสินค้าส่งออกจำนวนมากในประเทศนั้นยังต้องนำเข้าอยู่ จึงต้องมีการส่งเสริมทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าในประเทศถูกลงเพื่อที่จะส่งออกได้

และปัจจุบันสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกานั้น ทำให้ประเทศไทยได้เปรียบเพราะสินค้าจำนวนมากที่ผลิตจากประเทศจีนนั้นถูกแบน จึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่นักลงทุนจำนวนมากจะย้ายฐานการผลิตจากจีนออกไปข้างนอก ซึ่งโจทย์ใหญ่วันนี้คือะทำอย่างไรให้นักลงทุนกลับมาเลือกไทยเป็นฐานการผลิต รัฐจำเป็นจะต้องหาแนวทางในการชักชวนนักลงทุนให้มาลงทุนในไทยมากขึ้น เพื่อหารายได้เข้าประเทศ เสริมสร้างอุตสาหกรรมและการเป็นฐานการผลิตในเอเชีย

นายสุพันธุ์ระบุต่อว่า เมื่อค่าเงินเราอ่อนลง เราต้องมองถึงศักยภาพอื่นๆที่เรามีที่จะดึงเงินเข้าสู่ประเทศได้ คือด้านการท่องเที่ยว เพราะกำลังจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น รัฐจึงควรเร่งสร้างมาตรการต่างๆเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลับมาให้เร็วที่สุด เช่นการกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ การ สร้างแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวต่างๆเช่น แพลตฟอร์มจองที่พัก และ ร้านอาหาร ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดทำขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องพึ่งพา แพลตฟอร์มของต่างชาติ โดยให้ราคาและส่วนลดที่มากกว่า ที่แพลตฟอร์มของต่างประเทศทำได้ การลดระเบียบและกฎเกณฑ์ต่างๆให้กับโรงแรมขนาดเล็ก และ เกสต์เฮ้าส์ต่างๆ เพื่อดึงให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวที่ประเทศไทยมากขึ้น

นายสุพันธุ์เสนอประเด็นสุดท้ายคือการเปิดโอกาสทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ให้คนต่างชาติสามารถถือครองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ โดยมีมาตรการป้องกัน เช่น อนุญาตให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ และ ราคาไม่เกิน 30 ล้านบาท และ มีการเก็บภาษีที่ดินในอัตราที่สูงกว่าคนไทยทั่วไป โดยอนุญาตให้เป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้นและไม่อนุญาตให้ทำการค้า หรือ การเกษตร สุพันธุ์ อธิบายต่อว่า การออกโยบายดังกล่าวจะไม่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในภาพรวมแต่จะเป็นการเสริมเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะในความเป็นจริงนั้นต่างชาติได้เข้ามาถือครองที่ดินในไทยอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก แต่เป็นการถือครองผ่านนอมินี การอนุญาตให้ต่างชาติสามารถถือครองได้นั้น จะเป็นการนำสิ่งที่อยู่นอกระบบ กลับเข้ามาในระบบ ให้รัฐได้ภาษีมากขึ้นจากคนต่างชาติที่ต้องจ่ายแพงกว่า และ จะไม่ทำให้กระทบราคาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดมากนัก เพราะที่ดินประมาณ 1 ไร่ ในราคา 30 ล้านบาทนั้นไม่สามารถหาได้อยู่แล้วในพื้นที่ใจกลางเมือง

นายสุพันธุ์ได้ทิ้งท้ายว่า ปัญหาที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่เงินบาทอ่อนค่า เพราะหากเทียบแล้วเงินบาทไทยถือว่าแข็งกว่าหลายสกุล แต่ทางสหรัฐก็ต้องหาทางแก้ปัญหาเงินเฟ้อในชาติตัวเองจึงออกนโยบายต่างๆ มา และการแก้ปัญหาแบบนี้จะเป็นไปเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้รัฐบาลไทยไม่ควรแก้ด้วยการสร้างปาฏิหาริย์ทางตัวเลข หรือรังแต่เยียวยาคนในประเทศด้วยการอัดเงินเข้าไป แต่ควรหาแนวทางที่จะสร้างรายได้ให้กับคนในประเทศและรู้จักพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ดึงศักยภาพของประเทศออกมาใช้ให้เต็มที่มากกว่าที่จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดึงค่าเงินกลับมา แต่ทำร้ายปากท้องของประชาชนคนตัวเล็ก และ ทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสในระยะยาวต่อไป