1 ปี “รัชกาลที่ 9” สวรรคต “12,739,531 พสกนิกร” ร่วมกราบ 3,992,750 คนอุทิศตนเป็น “จิตอาสา”

แม้ผ่านไป 1 ปี

แต่ยังเป็นความแจ่มชัดในความทรงจำของพสกนิกรชาวไทย

เวลา 18.45 น. วันที่ 13 ตุลาคม 2559 สำนักพระราชวัง ออกประกาศ

“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต”

ความว่า

“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2557 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น

แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ ได้ทรุดหนักลงตามลำดับ

ถึงวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ

สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองสิริราชสมบัติได้ 70 ปี”

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ จากพระราชวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2557 เพื่อประทับรักษาพระอาการประชวร

ต่อมาสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2557 ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรอท (ไข้) สูง 38.2 องศาเซลเซียส ผลการตรวจพระโลหิตแสดงว่ามีภาวะติดเชื้อ มีการเปลี่ยนแปลงในความดันพระโลหิต และอัตราการเต้นของพระหทัยเร็วขึ้น คณะแพทย์จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ

จากนั้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 12 คณะแพทย์ฯ ได้รายงานว่า พระอาการทั่วไปดีขึ้น และพระวรกายแข็งแรงเป็นลำดับ จึงเสด็จกลับพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

แต่ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออกจากพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้เสด็จกลับมาประทับที่โรงพยาบาลศิริราชอีกครั้ง

โดยมีแถลงการณ์ฉบับที่ 13 เป็นไปตามคำกราบบังคมทูลเชิญของคณะแพทย์ฯ เพื่อถวายตรวจพระสมองด้วยเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อติดตามผลของการใส่สายระบายน้ำไขสันหลังจากช่องไขสันหลังเข้าสู่ช่องพระนาภี

จากนั้น พระองค์ก็ทรงประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ตลอดมา

กระทั่ง สวรรคต รวมระยะเวลา 502 วัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า

“เป็นการสูญเสียและความวิปโยคยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ นับแต่การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489

พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ได้ติดตามข่าวสารและรับทราบมาเป็นลำดับว่าในห้วงหลายปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรและได้เสด็จไปประทับที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นระยะ

เมื่อพระอาการบรรเทาลงก็จะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามปกติด้วยพระวิริยะอุตสาหะ เพื่อความผาสุกของพสกนิกร

ตลอดเวลาที่ผ่านมา คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิด พระอาการดีขึ้นเป็นลำดับ ยังความปลาบปลื้มแก่ประชาชนคนไทยทั้งชาติ

แต่ในที่สุดพระอาการประชวร หาคลายไม่

ประกอบกับพระชนมพรรษามาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต พระชนมพรรษาปีที่ 89 เสด็จดำรงสิริราชสมบัติ 70 พรรษา

วันที่ 13 ตุลาคม จะเป็นวันที่อยู่ในความทรงจำของประชาชนชาวไทยตลอดไปนานแสนนาน ดุจวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม”

ตลอด 1 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สวรรคต

พสกนิกรชาวไทยจากทั่วสารทิศต่างมุ่งตรงมายังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ด้วยหัวใจหนึ่งเดียวกัน

คือ อยากถวายสักการะพระบรมศพ พระมหากษัตริย์ซึ่งเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ

ทั้งนี้ สำนักพระราชวังได้แจ้งยอดประชาชนที่เข้ากราบพระบรมศพ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2559 ถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2560 รวม 337 วัน

ปรากฏว่า มีประชาชนเข้ากราบพระบรมศพทั้งสิ้น 12,739,531 คน

โดยเฉพาะวันที่ 5 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่สำนักพระราชวัง เปิดให้ถวายสักการะพระบรมศพ มีประชาชนเข้ากราบพระบรมศพถึง 110,889 คน ซึ่งถือว่าสูงที่สุด

ยอดเงินบริจาคเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ ทั้งสิ้น 889,545,100.01 บาท

การเปิดให้ประชาชนเข้ากราบพระบรมศพ ได้ก่อให้เกิดเรื่องราวประทับใจมากมาย บ้างมาเพื่อขอความอุ่นใจที่ได้ใกล้ชิดในหลวง ร.9 บ้างก็มาขอพร

ขณะที่หลายคนอุทิศตนเป็น “จิตอาสา” เพื่อทำประโยชน์แก่งสังคมและช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่มากราบพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

ทั้งนี้ ในเรื่อง “จิตอาสา” ดังกล่าว

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

ทรงเล็งเห็นและทรงรับรู้จากพระราชหฤทัยของพระองค์ถึงพลังแห่งคุณค่าของความรัก ความศรัทธาเทิดทูน และความจงรักภักดี ที่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายแด่พระองค์

จึงได้พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้ประชาชนทุกภาคส่วน ได้มีส่วนร่วมถวายความอาลัยรัก น้อมส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในห้วงเดือนตุลาคมนี้

เป็นการสานต่อพระราชดำริของโครงการจิตอาสา “เราทำความดี ด้วยหัวใจ”

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดตั้ง “จิตอาสาเฉพาะกิจ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ” ขึ้น

เพื่อเป็นการรวมพลังความรัก และน้ำใจของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่จะน้อมถวายแด่รัชกาลที่ 9 ก่อนเสด็จสู่สวรรคาลัย

ทั้งนี้ จิตอาสาเฉพาะกิจฯ เปิดให้ประชาชนลงทะเบียน 8 ประเภทงานตามความสมัครใจ

ได้แก่ งานดอกไม้จันทน์ งานประชาสัมพันธ์ งานโยธา งานขนส่งเพื่อความปลอดภัยของประชาชน งานบริการประชาชน งานแพทย์ งานรักษาความปลอดภัย และงานจราจร

ซึ่งผู้สมัคร ได้รับบัตรประชาชนจิตอาสาสีฟ้า และบัตรจิตอาสางานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ซึ่งมีสีตามประเภทของงาน

และจะได้รับพระราชทานหมวกแก๊ป ผ้าพันคอ เสื้อโปโลสีดำ ปลอกแขน ด้วย

สำหรับยอดสมัครจิตอาสาเฉพาะกิจฯ ระหว่างวันที่ 1-30 กันยายน 2560

มียอดสูงถึง 3,992,750 คน

ถือเป็นความร่วมมือร่วมใจเพื่อในหลวง ทั้งรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10

จิตอาสาเฉพาะกิจฯ เหล่านี้ จะมีส่วนสำคัญที่ทำให้พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดำเนินไปอย่างเรียบร้อยสมพระเกียรติ

ซึ่งขณะนี้พระเมรุมาศ มีความพร้อมสมบูรณ์ 98-99 เปอร์เซ็นต์แล้ว

ปรากฏว่ามีความยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติ มีพื้นที่ทั้งหมด 150,000 ตาราเมตร สามารถบรรจุคนได้กว่า 200,000 คน

อย่างไรก็ตาม จะมีประชาชนเพียง 40,000 คน ที่อยู่ในพื้นที่รอบในได้เห็นริ้วขบวน ส่วนประชาชนที่เหลือได้ชมเพียงบรรยากาศรอบนอก

ดังนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานพระราชานุญาตให้รัฐบาลจัดสร้างพระเมรุมาศจำลองอย่างสมพระเกียรติเช่นเดียวกับพระเมรุมาศจริง และจัดซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ในสถานที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ

เพื่อให้ประชาชนชาวไทยทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่แห่งใดสามารถร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยถวายดอกไม้จันทน์และร่วมส่งเสด็จได้อย่างทั่วถึง

ส่วนหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ระหว่างวันที่ 13-14 ตุลาคม 2560 นั้น

วันที่ 13 ตุลาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงวางพวงมาลาของส่วนพระองค์ และพวงมาลาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9

กราบถวายบังคมพระบรมศพ พระสงฆ์ 30 รูปสวดพระพุทธมนต์

และสวดคาถาพิเศษ “ปรมินทมหาภูมิพละอตุลยะเตชะมหาราชัสสะ ปัตติทานคาถา”

ส่วนวันที่ 14 ตุลาคม 2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะกราบถวายบังคมพระบรมศพ และนิมนต์พระสงฆ์ 89 รูปเท่าพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สวดมาติกา

เชื่อว่า พสกนิกรจะรวมใจเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยพร้อมเพรียงกันทั้งประเทศ