ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ตุลาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
แม้ผ่านไป 1 ปี
แต่ยังเป็นความแจ่มชัดในความทรงจำของพสกนิกรชาวไทย
เวลา 18.45 น. วันที่ 13 ตุลาคม 2559 สำนักพระราชวัง ออกประกาศ
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต”
ความว่า
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2557 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น
แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ ได้ทรุดหนักลงตามลำดับ
ถึงวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ
สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองสิริราชสมบัติได้ 70 ปี”
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ จากพระราชวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2557 เพื่อประทับรักษาพระอาการประชวร
ต่อมาสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2557 ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรอท (ไข้) สูง 38.2 องศาเซลเซียส ผลการตรวจพระโลหิตแสดงว่ามีภาวะติดเชื้อ มีการเปลี่ยนแปลงในความดันพระโลหิต และอัตราการเต้นของพระหทัยเร็วขึ้น คณะแพทย์จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ
จากนั้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 12 คณะแพทย์ฯ ได้รายงานว่า พระอาการทั่วไปดีขึ้น และพระวรกายแข็งแรงเป็นลำดับ จึงเสด็จกลับพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
แต่ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออกจากพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้เสด็จกลับมาประทับที่โรงพยาบาลศิริราชอีกครั้ง
โดยมีแถลงการณ์ฉบับที่ 13 เป็นไปตามคำกราบบังคมทูลเชิญของคณะแพทย์ฯ เพื่อถวายตรวจพระสมองด้วยเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อติดตามผลของการใส่สายระบายน้ำไขสันหลังจากช่องไขสันหลังเข้าสู่ช่องพระนาภี
จากนั้น พระองค์ก็ทรงประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ตลอดมา
กระทั่ง สวรรคต รวมระยะเวลา 502 วัน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า
“เป็นการสูญเสียและความวิปโยคยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ นับแต่การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489
พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ได้ติดตามข่าวสารและรับทราบมาเป็นลำดับว่าในห้วงหลายปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรและได้เสด็จไปประทับที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นระยะ
เมื่อพระอาการบรรเทาลงก็จะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามปกติด้วยพระวิริยะอุตสาหะ เพื่อความผาสุกของพสกนิกร
ตลอดเวลาที่ผ่านมา คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิด พระอาการดีขึ้นเป็นลำดับ ยังความปลาบปลื้มแก่ประชาชนคนไทยทั้งชาติ
แต่ในที่สุดพระอาการประชวร หาคลายไม่
ประกอบกับพระชนมพรรษามาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต พระชนมพรรษาปีที่ 89 เสด็จดำรงสิริราชสมบัติ 70 พรรษา
วันที่ 13 ตุลาคม จะเป็นวันที่อยู่ในความทรงจำของประชาชนชาวไทยตลอดไปนานแสนนาน ดุจวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม”
ตลอด 1 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สวรรคต
พสกนิกรชาวไทยจากทั่วสารทิศต่างมุ่งตรงมายังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ด้วยหัวใจหนึ่งเดียวกัน
คือ อยากถวายสักการะพระบรมศพ พระมหากษัตริย์ซึ่งเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
ทั้งนี้ สำนักพระราชวังได้แจ้งยอดประชาชนที่เข้ากราบพระบรมศพ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2559 ถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2560 รวม 337 วัน
ปรากฏว่า มีประชาชนเข้ากราบพระบรมศพทั้งสิ้น 12,739,531 คน
โดยเฉพาะวันที่ 5 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่สำนักพระราชวัง เปิดให้ถวายสักการะพระบรมศพ มีประชาชนเข้ากราบพระบรมศพถึง 110,889 คน ซึ่งถือว่าสูงที่สุด
ยอดเงินบริจาคเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ ทั้งสิ้น 889,545,100.01 บาท
การเปิดให้ประชาชนเข้ากราบพระบรมศพ ได้ก่อให้เกิดเรื่องราวประทับใจมากมาย บ้างมาเพื่อขอความอุ่นใจที่ได้ใกล้ชิดในหลวง ร.9 บ้างก็มาขอพร
ขณะที่หลายคนอุทิศตนเป็น “จิตอาสา” เพื่อทำประโยชน์แก่งสังคมและช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่มากราบพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ทั้งนี้ ในเรื่อง “จิตอาสา” ดังกล่าว
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ทรงเล็งเห็นและทรงรับรู้จากพระราชหฤทัยของพระองค์ถึงพลังแห่งคุณค่าของความรัก ความศรัทธาเทิดทูน และความจงรักภักดี ที่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายแด่พระองค์
จึงได้พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้ประชาชนทุกภาคส่วน ได้มีส่วนร่วมถวายความอาลัยรัก น้อมส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในห้วงเดือนตุลาคมนี้
เป็นการสานต่อพระราชดำริของโครงการจิตอาสา “เราทำความดี ด้วยหัวใจ”
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดตั้ง “จิตอาสาเฉพาะกิจ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ” ขึ้น
เพื่อเป็นการรวมพลังความรัก และน้ำใจของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่จะน้อมถวายแด่รัชกาลที่ 9 ก่อนเสด็จสู่สวรรคาลัย
ทั้งนี้ จิตอาสาเฉพาะกิจฯ เปิดให้ประชาชนลงทะเบียน 8 ประเภทงานตามความสมัครใจ
ได้แก่ งานดอกไม้จันทน์ งานประชาสัมพันธ์ งานโยธา งานขนส่งเพื่อความปลอดภัยของประชาชน งานบริการประชาชน งานแพทย์ งานรักษาความปลอดภัย และงานจราจร
ซึ่งผู้สมัคร ได้รับบัตรประชาชนจิตอาสาสีฟ้า และบัตรจิตอาสางานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ซึ่งมีสีตามประเภทของงาน
และจะได้รับพระราชทานหมวกแก๊ป ผ้าพันคอ เสื้อโปโลสีดำ ปลอกแขน ด้วย
สำหรับยอดสมัครจิตอาสาเฉพาะกิจฯ ระหว่างวันที่ 1-30 กันยายน 2560
มียอดสูงถึง 3,992,750 คน
ถือเป็นความร่วมมือร่วมใจเพื่อในหลวง ทั้งรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10
จิตอาสาเฉพาะกิจฯ เหล่านี้ จะมีส่วนสำคัญที่ทำให้พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดำเนินไปอย่างเรียบร้อยสมพระเกียรติ
ซึ่งขณะนี้พระเมรุมาศ มีความพร้อมสมบูรณ์ 98-99 เปอร์เซ็นต์แล้ว
ปรากฏว่ามีความยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติ มีพื้นที่ทั้งหมด 150,000 ตาราเมตร สามารถบรรจุคนได้กว่า 200,000 คน
อย่างไรก็ตาม จะมีประชาชนเพียง 40,000 คน ที่อยู่ในพื้นที่รอบในได้เห็นริ้วขบวน ส่วนประชาชนที่เหลือได้ชมเพียงบรรยากาศรอบนอก
ดังนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานพระราชานุญาตให้รัฐบาลจัดสร้างพระเมรุมาศจำลองอย่างสมพระเกียรติเช่นเดียวกับพระเมรุมาศจริง และจัดซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ในสถานที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ
เพื่อให้ประชาชนชาวไทยทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่แห่งใดสามารถร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยถวายดอกไม้จันทน์และร่วมส่งเสด็จได้อย่างทั่วถึง
ส่วนหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ระหว่างวันที่ 13-14 ตุลาคม 2560 นั้น
วันที่ 13 ตุลาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงวางพวงมาลาของส่วนพระองค์ และพวงมาลาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
กราบถวายบังคมพระบรมศพ พระสงฆ์ 30 รูปสวดพระพุทธมนต์
และสวดคาถาพิเศษ “ปรมินทมหาภูมิพละอตุลยะเตชะมหาราชัสสะ ปัตติทานคาถา”
ส่วนวันที่ 14 ตุลาคม 2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะกราบถวายบังคมพระบรมศพ และนิมนต์พระสงฆ์ 89 รูปเท่าพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สวดมาติกา
เชื่อว่า พสกนิกรจะรวมใจเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยพร้อมเพรียงกันทั้งประเทศ