ผู้นำยุโรป-โป๊ปฟรานซิส ประณามรัสเซีย ก่อเหตุสังหารหมู่พลเรือนยูเครนในบูการ์

 วันที่ 4 เมษายน 2565 รอยเตอร์สรายงานว่า สหภาพยุโรป ออกมากล่าวหากองทัพรัสเซียต่อการกระทำความเลวร้ายอันน่าสลดในเมืองบริเวณเขตบริหารคียีฟ โดยเฉพาะเหตุสังหารพลเรือนในเมืองบูการ์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงคียีฟ หลังเทศมนตรีเมืองเปิดเผยว่า มีชาวเมืองราว 300 รายถูกสังหารตลอดช่วงการยึดครองพื้นที่ของกองทัพรัสเซีย

โจเซฟ บอร์เรล หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรปกล่าวในทวิตเตอร์ว่า รู้สึกตกตะลึงกับข่าวการกระทำทารุณโดยกองกำลังรัสเซีย อียูช่วยยูเครนบันทึกอาชญากรรมสงคราม โดยทุกกรณีจำเป็นในการดำเนินคดีโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

ด้านชาร์ลส มิเชล ประธานคณะมนตรียุโรป ตอบในทวิตของบอร์เรลว่า เป็นเรื่องน่าตกใจกับภาพความโหดร้ายของกองทัพรัสเซียในเขตปกครองคียีฟที่ถูกปลดปล่อย

เช่นเดียวกับ โรเบิร์ต ฮาเบ็ค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์บิลด์ หนังสือพิมพ์ของเยอรมนี ประณามการกระทำของรัสเซียในเมืองบูชา ประเทศยูเครน ว่าเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม โดยระบุว่า อาชญากรรมสงครามที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีคำตอบ และว่า เวลานี้เยอรมนีกำลังร่วมกับชาติสมาชิกอียูเพื่อออกมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่

แอนนาเลนา แบร์บ็อก รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี ระบุถึงเหตุการณ์ในเมืองบูชาเช่นกันว่า ภาพที่มีการเผยแพร่ออกมานั้นไม่สามารถยอมรับได้ นอกจากนี้ยังระบุว่า ความรุนแรงอันโหดร้ายของปูตินในการสังหารผู้คนบริสุทธิ์นั้นไร้ขอบเขต ดังนั้น ผู้ที่ก่ออาชญากรรมสงครามนั้นจะต้องถูกนำตัวมาลงโทษ

นอกจากนี้ แบร์บ็อกยืนยันว่าเยอรมนีจะเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรกับรัสเซียและสนับสนุนการป้องกันประเทศยูเครนให้เพิ่มขึ้นด้วย

ความเคลื่อนไหวนี้ เกิดขึ้นหลังจากกองทัพยูเครนได้เข้าปลดปล่อยและยึดคืนพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเขตบริหารคียีฟ ซึ่งกองทัพยูเครนสามารถเข้ายึดคืนและทัพรัสเซียล่าถอยออกจากพื้นที่ไม่ว่าเมือง เอียร์ปิน บูการ์และสนามบินอันโตนอฟในเมืองโฮสโตเมล โดยเมื่อทัพยูเครนมาถึงเมืองบูการ์ ก็พบภาพน่าสลดของพลเรือนที่ถูกสังหาร ร่างไร้วิญญาณกระจายตามถนน บางส่วนถูกสังหารก่อนเผาจนร่างไหม้เกรียม และมีหลุมฝังศพหมู่ฝังร่างชาวเมืองหลายร้อยคนบริเวณลานนอกโบสถ์ประจำเมือง

ขณะที่ รัสเซีย รีบปฏิเสธข้อหาทั้งหมดเกี่ยวกับการกระทำที่เข้าข่ายก่ออาชญากรรมสงคราม โดยรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย กล่าวตอบโต้ว่า ภาพและวิดีโอพลเรือนถูกสังหารเกลื่อนเมือง เป็นการจัดฉาก

มิเชล ระบุว่า สหภาพยุโรปจะช่วยเหลือยูเครนและองค์กรประชาชนระหว่างประเทศในการรวบรวมหลักฐานสำคัญเพื่อดำเนินคดีต่อรัสเซียในศาลระหว่างประเทศ อีกทั้งอียูจะมีการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม

รายงานระบุว่า เมื่ออัดน่าสลดปรากฎสู่สายตาทั่วโลก ดิมิโทร คูลีบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน กล่าวว่า เหตุสังหารหมู่เมืองบูการ์เป็นการกระทำโดยเจตนา

เช่นเดียวกับ แอนโทนี บลิงเก้น รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวถึงภาพอันโหดร้ายว่า เหมือนถูกต่อยเข้าหน้าท้องอย่างแรง

นอกจากนี้ ไม่เพียงผู้นำทางการเมืองที่ออกมาประณาม แม้แต่ผู้นำทางจิตวิญญาณอย่าง สมเด็จพระสันตปะปาฟรานซิส ได้กล่าวประณามการกระทำของรัสเซียด้วย โดยพระองค์ได้ตรัส ตรัสระหว่างเสด็จเยือนประเทศมอลตา เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ประณามรัสเซียว่ากำลังทำสงครามลบหลู่ร้ายแรงในยูเครน

การกล่าวประณามรัสเซียของประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก มีขึ้นในขณะที่ทั่วโลกกำลังประณามรัสเซียที่ก่อเหตุสังหารพลเรือนในเมืองบูชา ตอนเหนือของกรุงเคียฟ เหตุการณ์ซึ่งทางการยูเครนระบุว่ามีผู้เสียชีวิตมากถึง 300 คน

สมเด็จพระสันตะปาปา ตรัสกับคริสตศาสนิกชนที่มาร่วมฟังการเทศนาราว 12,000 คนในเมืองฟลอริอานา ชานกรุงวัลเลตตา เมืองหลวงของประเทศมอลตาว่า ขออธิฐานเพื่อสันติสุข นึกถึงโศกนาฏกรรมทางมนุษยธรรมในยูเครน ที่ยังคงถูกทิ้งระเบิดในสงครามที่เป็นการลบหลู่ร้ายแรงนี้

ทั้งนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟราสซิส ในวัย 85 ปีอยู่ระหว่างเสด็จเยือนมอลตาเป็นครั้งแรก ขณะที่สมเด็จพระสันตะปาปามีกำหนดเดินทางเยี่ยมศูนย์พักพิงผู้ลี้ภัยสงครามยูเครนในมอลตาด้วย

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) เปิดเผยเมื่อวันที่ 3 เมษายน ระบุว่า นับตั้งแต่รัสเซียนำกำลังทหารบุกเข้าประเทศยูเครน ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีผู้ลี้ภัยสงครามหนีออกจากประเทศยูเครนแล้ว 4,176,401 คน ในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้ลี้ภัยออกนอกประเทศจำนวนมากถึง 38,559 ราย

ยูเอ็นเอชซีอาร์ระบุว่า ในจำนวนผู้ลี้ภัยทั้งหมดเป็นผู้หญิงและเด็กสัดส่วนถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจาก ชายวัย 18-60 ปีนั้น จะต้องถูกเกณฑ์เป็นทหารและไม่สามารถเดินทางออกจากประเทศได้ และยังมีประชาชนที่ไม่ใช่ชาวยูเครนที่ศึกษาหรือทำงานในประเทศยูเครนจำนวน 205,500 คน ต้องหนีออกจากยูเครนด้วย

ยูเอ็นเอชซีอาร์ระบุด้วยว่า ล่าสุดมีผู้ที่ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนอยู่ในประเทศยูเครนแล้วมากถึง 6.48 ล้านคน โดยหากนับรวมผู้ที่ต้องไร้บ้านในเวลานี้มีมากกว่า 10 ล้านคนไปแล้ว หรือนับเป็น 1 ใน 4 ของประชากรยูเครนทั้งประเทศ