อียู ลั่นไม่จ่ายค่าก๊าซ-น้ำมันรัสเซียเป็นเงินรูเบิล แต่รัสเซียเล็งรับชำระจากชาติเป็นมิตรด้วย “บิตคอยน์”

อียู ลั่นไม่จ่ายค่าก๊าซ-น้ำมันรัสเซียเป็นเงินสกุลรูเบิล ส่วนรัสเซีย เล็งรับชำระค่าก๊าซ-น้ำมันด้วย “บิตคอยน์” จากชาติเป็นมิตร

หลังจากนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมาว่า รัสเซียจะรับชำระเงินค่าก๊าซจากชาติที่อยู่ในรายชื่อ “ชาติไม่เป็นมิตร” เป็นเงินสกุลรูเบิลนั้น

ล่าสุดนางอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรประบุเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ยืนยันว่ารัสเซียจะไม่สามารถใช้พลังงานมาข่มขู่ยุโรปได้อีกต่อไป โดยยืนยันว่ารัสเซียไม่สามารถกำหนดรับชำระค่าก๊าซเป็นเงินรูเบิลได้เนื่องจากจะเป็นการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร

นางฟอน แดร์ ไลเอิน ระบุว่า การประกาศดังกล่าวเป็นการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวและเป็นการละเมิดสัญญาอย่างชัดเจน นอกจากนี้ จะเป็นการหลี่กเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรด้วย

ทั้งนี้การแสดงท่าทีของอียูมีขึ้นหลังจากนายโอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ปฏิเสธก่อนหน้านี้แล้วว่าเยอรมนีจะไม่ชำระเงินค่าพลังงานจากรัสเซียเป็นเงินรูเบิล โดยระบุว่า สกุลเงินที่จะใช้ชำระค่าพลังงานรัสเซียนั้นระบุไว้แล้วในสัญญา

ขณะที่ รัสเซียซึ่งเจอมาตรการคว่ำบาตรอย่างหนักจากนานาชาติ จนส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจในประเทศ รัฐบาลรัสเซียจึงต้องดิ้นรนเพื่อหารายได้เข้าประเทศ ล่าสุดประธานคณะกรรมาธิการด้านพลังงานรัฐสภารัสเซียได้ออกมาเปิดเผยถึงความเป็นไปได้ว่า รัสเซีย อาจเปิดทางให้ “ชาติเป็นมิตร” อย่าง “จีน” และ “ตุรกี” จ่ายค่าก๊าซและน้ำมันจากรัสเซียเป็นสกุลเงินดิจิทัลอย่าง “บิตคอยน์” ได้

นายปาเวล ซาวัลนี ประธานคณะกรรมาธิการด้านพลังงานสภาดูมา เปิดเผยเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมาว่า รัสเซียและตัวแทนจากจีนและตุรกีกำลังหารือถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยระบุว่าทั้งสองประเทศจะสามารถใช้สกุลเงินหยวน ของจีน สกุลเงินลีรา ตุรกี หรือแม้แต่บิตคอยน์ก็เป็นไปได้

รายงานระบุว่า รัสเซียพยายามที่จะหาช่องทางเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากนานาชาติมาอย่างต่อเนื่องหลังจากรัสเซียนำกำลังบุกยูเครน โดยเฉพาะเมื่อธนาคารรัสเซียถูกถอดออกจากระบบ “สวิฟต์” ทำให้ไม่สามารถรับชำระและชำระเงินข้ามประเทศได้ ขณะที่อีกหลายธุรกิจถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำธุรกิจกับรัสเซีย ยกเว้นการซื้อขายน้ำมันและก๊าซจากรัสเซีย ซึ่งเป็นรายได้หลักของรัสเซีย

ทั้งนี้ราคาบิตคอยน์ปรับตัวสูงขึ้น 2.72 เปอร์เซ็นต์ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ไปอยู่ที่ระดับสูงกว่า 44,000 ดอลลาร์สหรัฐซึ่งนับเป็นการปรับตัวพุ่งสูงขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากการปรับตัวขึ้นครั้งล่าสุดในช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา