สรุปข่าวเด่น : “เพื่อไทย”จี้ทบทวน พ.ร.บ. / “ไฟเขียว” ตั้ง3ปลัดกระทรวง / ออมสินลั่นไม่หยุดสอบเงินทอนวัด

นายกฯ แจงปิดเข้าถวายบังคมพระบรมศพฯ

30 กันยายน-ไม่เป็นความจริง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกระแสข่าวจะปิดให้เข้าถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 30 กันยายนนี้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีกำหนดการออกมา ไม่ทราบว่าไปเอาข่าวมาจากไหน เพราะตอนนี้ได้แจ้งให้ทุกหน่วยงานทราบแล้วว่าขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการอำนวยการที่ดูแลพระราชพิธีทั้งหมดที่ต้องไปดูว่าการเตรียมความพร้อมสู่พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพนั้นใช้เวลาเท่าไร ซึ่งอาจมีปัญหาเรื่องการเดินทางของประชาชนหรือการเตรียมการเคลื่อนย้ายต่างๆ ในการซักซ้อม ต้องพิจารณากันอีกครั้ง แล้วต้องนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระบรมราชวินิจฉัย

 

“เพื่อไทย” ออกแถลงการณ์

จี้ทบทวน พ.ร.บ. เอาผิดนักการเมือง

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พรรคเพื่อไทย (พท.) ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้ทบทวนและแก้ไขเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. … เพราะมีสาระสำคัญบางประการที่แตกต่างไปจากร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเดิม และหลักการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องอายุความ การให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีลับหลังจำเลย และการตรากฎหมายย้อนหลังที่เป็นโทษกับบุคคล โดยพรรคเพื่อไทยเห็นว่าภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน” และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ข้อ 7 ซึ่งกำหนดว่า “ทุกคนเสมอภาคกันตามกฎหมายและมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองของกฎหมายเท่าเทียมกัน โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใด…” ข้อ 10 ที่กำหนดว่า “ทุกคนย่อมมีสิทธิในความเสมอภาคอย่างเต็มที่ในการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมและเปิดเผย…” รวมถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 14 วรรคหนึ่ง ซึ่งกำหนดว่า “บุคคลทั้งปวงย่อมเสมอกันในการพิจารณาของศาลและคณะตุลาการในการพิจารณาคดีอาญา ซึ่งตนต้องหาว่ากระทำผิด…” ซึ่งประเทศไทยโดยรัฐธรรมนูญทุกฉบับได้บัญญัติรับรองและผูกพันต่อพันธกรณีระหว่างประเทศดังกล่าว รวมถึงคำประกาศของผู้นำประเทศคนปัจจุบัน และแม้แต่เนื้อหาของร่างสัญญาประชาคมก็ยังระบุไว้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น การที่ 1.การยกเว้นไม่นำหลักเรื่องอายุความที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาซึ่งเป็นกฎหมายสาระบัญญัติ มาใช้บังคับกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นการเฉพาะ ขัดต่อหลักที่กล่าวมาข้างต้น 2.การกำหนดให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ โดยไม่ต้องมีตัวจำเลยมาศาลหรืออยู่ในอำนาจศาล ซึ่งแตกต่างไปจากการพิจารณาคดีอาญาทั่วไป ขัดกับหลักยุติธรรมสากลที่รับรองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง 3.การกำหนดให้ร่างกฎหมายนี้มีผลใช้บังคับย้อนหลังทั้งๆ ที่ร่างเดิมของ กรธ. ไม่ได้กำหนด จึงเป็นการตรากฎหมายที่มีผลย้อนหลังเป็นโทษต่อบุคคล ขัดกับหลักนิติธรรมอย่างชัดเจน จึงจะทำหนังสือไปยังนายกฯ โดยเร็วที่สุดเพื่อขอให้ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยว่าร่างกฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ด้วย

อนึ่งร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวถูกวิจารณ์ว่ามุ่งเอาผิด นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงทำให้พรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวดังกล่าว

 

“ไฟเขียว” ตั้ง 3 ปลัดกระทรวง-ผอ.ข่าวกรอง

“บิ๊กฉิ่ง” สิงห์ดำรุ่น 32 ผงาดมหาดไทย

ฉัตรชัย พรหมเลิศ

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแต่งตั้ง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายชูเกียรติ มาลินีรัตน์ รอง ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ เป็น ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ

สำหรับนายฉัตรชัย “บิ๊กฉิ่ง” พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย เกิด 19 กุมภาพันธ์ 2504 เหลืออายุราชการ 4 ปี เกษียณราชการปี 2564 ค่ายสิงห์ดำ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่น 32 มีผลวันที่ 1 ตุลาคมนี้

 

ออมสินลั่นไม่หยุดสอบเงินอุดหนุนวัด

เตือน ผอ.สำนักพุทธระวังกระทบศาสนา

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ให้สัมภาษณ์กรณีเจ้าคุณพิพิธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ เรียกร้องให้เปลี่ยนตัว ผอ.พศ. ที่ให้ข่าวการตรวจสอบเงินอุดหนุนวัดจนอาจเสื่อมเสียต่อพระพุทธศาสนาว่า รู้สึกเป็นห่วงการทำงานของ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. โดยได้หารือกับเจ้าตัวแล้ว ว่าจะต้องใช้ความระมัดระวัง รอบคอบ รัดกุม ในการทำงานกับคนหมู่มาก ทั้งนี้ ต้องให้ ผอ.พศ. ทำงานต่อไป เพราะถือว่าทำงานตามกฎหมาย ส่วนใครผิดหรือถูกก็ว่ากันไป แต่ไม่อยากให้มีการกระทบกระทั่งกัน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็จะต้องพูดคุยกัน อยากให้ทำงานอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม จะมีการนัดผู้ที่เกี่ยวข้องมาทำความเข้าใจซึ่งกันและกันเพื่อคลายปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ พระชั้นผู้ใหญ่เป็นห่วง ไม่อยากให้การทำงานของ พศ. เกิดการกระทบกระทั่ง ทำให้วงการสงฆ์เกิดการตระหนกกับการทำงานเชิงรุกมากเกินไป นายกฯ ก็เป็นห่วงและไม่สบายใจ แต่ไม่ใช่ไม่ให้ทำงาน นายกฯ ย้ำเสมอว่าเรื่องการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต้องดำเนินการ ใครผิด-ถูกต้องว่าไปตามนั้น

เรื่องเงินทอนวัดเราไม่หยุดตรวจสอบ ถ้าหยุดอาจโดนข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่