ก้าวไกล ชวนจับตา 120 วัน เปิดประเทศ เฮือกสุดท้ายของหลายธุรกิจ แซะเปิดข้อมูลวัคซีนก่อน

“โฆษก พรรคก้าวไกล” ชวนจับตา 120 วัน ได้เปิดประเทศ หรือ ล้มเหลว ชี้ อยากให้ทำได้สำเร็จ เหน็บ ก่อนเปิดประเทศ ไปเปิดข้อมูลวัคซีนก่อน

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีกรอบ 120 วันเปิดประเทศ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จะทำได้ตามประกาศจริงหรือไม่ เพราะการแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจด้วยความมั่นใจขนาดนี้จะต้องเตรียมความพร้อมในการเปิดประเทศมาแล้วอย่างเต็มที่ ต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบ มีแผนหลักแผนสำรอง และพร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาอีกขั้นที่จะยกระดับขึ้นเมื่อมีการเปิดประเทศไปแล้ว

“ผมอยากให้ท่านทำสำเร็จ เพราะอยากเห็นประชาชนยิ้มได้อีกครั้งหากเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าต่อไป แต่ก็ยอมรับว่าไม่ค่อยมั่นใจในตัวนายกฯ เท่าไหร่ จึงขอชวนประชาชนมานับถอยหลัง 120 วันไปพร้อมกัน เพราะถ้าครั้งนี้ล้มเหลวก็จะเป็นการนับถอยหลังเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลด้วย หากพังอีกแล้วยังหน้าด้านอยู่ต่อ ประชาชนคงต้องหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดแน่

เพราะหลายคนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว การประกาศเปิดประเทศครั้งนี้จึงเหมือนการวัดใจเฮือกสุดท้ายของหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการสั่งปิดกิจการต่างๆ ดังนั้น ถ้าเปิดประเทศแล้วแต่ผลคือมีการระบาดใหญ่ระลอกใหม่ และตามมาด้วยการปิดกิจการอีกครั้ง โดยต้องตกอยู่ในสภาพที่รัฐไม่เคยเหลียวแลเหมือนที่ผ่านมา นอกจากทุนไม่เหลือ รายได้ไม่เข้าแล้ว หนี้และดอกเบี้ยก็จะทับถมชีวิตเขาซ้ำเข้าไปอีกยาวนาน” นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า สิ่งที่ประชาชนอยากรู้มากที่สุดหลังจากที่นายกฯ ออกมาพูดว่าพร้อมเปิดประเทศภายใน120 วัน คือ ท่านจะมีแผนบริหารจัดการที่ชัดเจนอย่างไร เพราะเมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.) นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ได้ตอบกระทู้ถามสดในสภาก็ยังบอกได้แค่ว่าแผนเปิดประเทศภายใน 120 วัน เป็นการเรียกขวัญกำลังใจที่นายกฯ ต้องการมอบให้แก่ประชาชนเท่านั้น เรื่องแผนต่างๆ ตอบไม่ได้ให้รอฟังความชัดเจนต่อไป นี่หรือวุฒิภาวะของฝ่ายบริหารประเทศนี้

“ก่อนจะประกาศเปิดประเทศ ช่วยเปิดเผยข้อมูลการฉีดวัคซีนก่อนจะดีกว่า เพราะที่ผ่านมามีแต่ข่าวลือว่ามีไอ้โม่งแอบมาฉวยเอาวัคซีนไปสร้างฐานเสียงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง เรื่องแบบนี้จริงหรือไม่ต้องตอบกันด้วยข้อมูลไม่ใช่ข้ออ้าง ขณะนี้มีวัคซีนเท่าไหร่ ฉีดให้ใคร และจะกระจายไปที่ไหนอย่างไรบ้าง ต้องกล้านำเสนอข้อมูลส่วนนี้ให้ได้อย่างตรงไปตรงมา ก่อนที่จะเพ้อฝันไปถึงการเปิดประเทศ ไม่ใช่วัคซีนมาล็อตนึงหน่วยงานต่างๆ ก็ตีกันที

แต่ไม่ได้เป็นการจัดสรรตามความจำเป็นทางสาธารณสุขและเศรษฐกิจอย่างที่ควรจะเป็น หรือกระทั่งวัคซีนแอสตราเซเนก้าที่บอกว่าเป็นวัคซีนหลัก ถึงตอนนี้จะเข้ามาได้ตามเป้าหมายในเดือน มิ.ย. 6 ล้านโดส และ 10 ล้านโดส แล้วในเดือนถัดๆ ไปจะได้จริงหรือไม่ก็ต้องเปิดข้อมูลกำลังการผลิตของสยามไบโอไซน์ ประชาชนไม่ได้อยากรู้ว่าแผนการเรียกขวัญและกำลังใจเป็นอย่างไร ขวัญและกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนเวลานี้คือการรู้ว่าวัคซีนมีเท่าไหร่ และเขาจะได้ฉีดหรือไม่เท่านั้นเอง”

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า ก่อนเปิดประเทศยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากให้รัฐบาลตระหนักถึงสถานการณ์ตามความเป็นจริงให้ดี เพราะในอนาคตประเทศไทยอาจมีโอกาสเผชิญสถานการณ์เดียวกันกับประเทศชิลี ที่ขณะนี้มีการประกาศปิดกรุงซานติอาโกอีกครั้ง ทั้งที่ชิลีถือว่ามีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่สูงระดับต้นๆ ของโลก โดยวัคซีนส่วนใหญ่ที่ได้รับเป็นวัคซีนซิโนแวค หมายความว่าการใช้วัคซีนนี้อาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร หากมีสายพันธุ์ใหม่เข้ามาเป็นตัวแปรเพิ่มซึ่งก็เริ่มพบเจอแล้ว ขอถามว่าท่านมีแผนรองรับในประเด็นเหล่านี้หรือไม่

“ผมเห็นด้วยว่าประเทศไทยต้องเดินหน้า เพราะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ แต่นั่นคือหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐบาลที่จะต้องเยียวยาประชาชน ไม่ใช่บอกว่าให้ทุกคนต้องไปรับความเสี่ยงร่วมกัน ผมจึงอยากให้พี่น้องคนไทยมาร่วมกันนับถอยหลังดูความล้มเหลวของรัฐบาลอีกครั้งภายใน 120 วันนี้ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง” นายณัฐชา กล่าว