“ณัฐวุฒิ” จัดแถลงรับวันคืนสู่อิสรภาพ ยันจุดยืนเดิม พร้อมเคียงข้างคนรุ่นใหม่

วันที่ 30 มีนาคม 2564 เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ยูดีดีนิวส์ แยกแคราย จ.นนทบุรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำนปช. ได้จัดการแถลงข่าวหลังพ้นโทษจากเรือนจำและถอดกำไลดีเอ็ม โดยมีนพ.เหวง โตจิราการ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ นายก่อแก้ว พิกุลทองร่วมการแถลงด้วย

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การเข้าไปเรือนจำรอบนี้เป็นครั้งที่ 3 ตลอด 10 ปีของการต่อสู้ ครั้งนี้เป็นแรกที่ได้ตัดสินไปถึงศาลฎีกา คำตัดสินให้ตนจำคุกทั้งหมด 2 ปี 8 เดือน ซึ่งได้จำคุกไปแล้วก่อนหน้านี้เป็นเวลา 8 เดือนเศษ ประกอบกับได้รับการอภัยโทษ 2 ครั้ง ในเดือนก.ค.และเดือนธ.ค.ของปี 2563 หลังจากนั้นก็เข้าหลักเกณฑ์พักโทษเป็นกรณีพิเศษ ตนก็ได้ออกมาพร้อมกับติดกำไรอีเอ็ม และอยู่ในความควบคุมของกรมควบความประพฤติตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค.63 จนกระทั่งวันที่ 29 มี.ค.64

ตลอดเวลา 3 เดือนในการพักโทษ ตนปฎิบัติตนอย่างเคร่งครัดคือการอยู่ในพื้นที่ที่แจ้งไว้ ถ้ามีเหตุที่ต้องออกนอกพื้นที่ ก็ขออนุญาตเป็นรายกรณี ทั้งมีการรายงานตัวกับกรมคุมประพฤติเดือนละ 1 ครั้ง และได้รับการอบรมธรรมกับพระคุณเจ้าวัดตะโหนด บางกรวยเดือนละ 1 ครั้งเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์ ไม่ได้มีข้อยกเว้นหรืออภิสิทธิ์อื่นใด ตนขอขอบคุณกรมราชทัณฑ์ กรมควบคุมความประพฤติ

นายณัฐวุฒิ เผยต่อว่า การต่อสู้ทางการเมืองของตนในอดีต ยังมีการพิจารณาคดีในชั้นศาลอีกหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมปี 2552-2553 และนั้นทำให้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี แต่ในฐานะประชาชนขอประกาศว่า ตนยังคงยืนยันจุดยืนเดิม ตนไม่รู้สึกเสียใจ ที่เลือกเส้นทางนี้ แม้จะติดคุกมาแล้ว 3 ครั้ง ภัยอันตรายอะไรใดๆ ตนไม่หวั่นไหวจุดยืนทางการเมืองที่ยืนยันมา ก็จะต้องดำเนินต่อไป เพื่ออำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของคนไทย

ตนยังยืนยันจุดยืนเดิมทางการเมือง จุดยืนเดิมของการต่อสู้ ตนไม่มีเจตนาทำร้ายบ้านเมือง ไม่มีเจตนาทำร้ายกับคนที่เห็นต่าง และยืนยันว่าไม่ได้เป็นการให้ร้ายสถาบัน ตนขอแสดงตัวเคียงข้างกลุ่มนิสิตนักศึกษา ที่กำลังเคลื่อนไหว ที่ตนประกาศในที่นี้ ไม่ใช่จะไปร่วมกระบวนการของพวกน้องๆ แต่ตนยอมรับการกระทำของน้องๆ จากใจจริง

“ผมได้ถามเพนกวินในเรือนจำ พี่ได้ยินว่า น้องใช้คำปราศรัยของพวกพี่ ตะโกนชื่อพวกพี่อยู่หลายเวที น้องรู้จักพี่ได้ยังไง เพนกวินบอกว่าเขารู้จักผมตั้งแต่อายุ 11 ขวบ ในปี 2553 คำตอบของเขาสั้นๆ แต่ทำให้ผมคิดยาว เพราะปี 2553 ผมได้ร่วมต่อสู้ครั้งใหญ่ เพนกวินอายุ 11 ขวบ เหตุการณ์ครั้งนั้น ผ่านมา 10 ปีถึงปี 2563 เพนกวินเป็นแกนนำต่อสู้ มีคดีความติดคุกอยู่เวลานี้”

“สิ่งที่ผมคิดยาว ถ้าเรื่องราวยังยุ่งเยิน ยังหาข้อยุติไม่ได้อีก 10 ปี ลูกชายผมจะอายุเท่าเพนกวินวันนี้ แล้วก็ไม่แน่ว่าอีก 10 ปีลูกชายผมต้องมาเจอสภาพแบบนี้ ไม่แน่ว่าคนที่จะต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดศาล พยายามให้ลูกต้องได้รับอิสรภาพ อาจจะไม่ใช่แม่เพนกวิน แม่ไมค์ แม่รุ้ง แม่ไผ่ แต่อาจจะเป็นผม พ่อของด.ช.นปก ใสยเกื้อ วันนี้ก็ได้” นายณัฐวุฒิ กล่าว

ส่วนกรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธ์ุ เตรียมออกมาเคลื่อนไหวในวันที่ 4 เมษายนนี้ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนกับนายจตุพรยังไม่ได้มีการพูดคุยหารือใดๆกัน มีเพียงแค่โทรคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันเท่านั้น แต่เห็นว่านายจตุพร และหลายคนที่ออกมาเคลื่อนไหวก็มีศักยภาพอยู่แล้ว ขณะเดียวกันในฐานะที่เป็นอดีตแกนนำนปช.ยังไม่มีแนวคิดเคลื่อนไหวนำมวลชนคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมใหญ่ หรือชุมนุมร่วมกับกลุ่มอื่นๆในขณะนี้

ในฐานะมนุษย์ทิ้งไม่ได้

นอกจากนี้ ในส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิสิตนักศึกษานั้น นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนเคารพพวกเขาในฐานะนักต่อสู้ พวกเขาต้องแลกมาด้วยชีวิต อิสรภาพ และต้องเผชิญกับความท้าทายที่ต้องแบกรับไว้อีกมาก ตนขอย้ำจุดยืนอยู่เคียงข้างกับนิสิต นักศึกษา ประชาชน ไม่มีเปลี่ยนแปลง พวกเราในฐานะคนเสื้อแดงที่ต่อสู้มานับ 10ปี และทุกวันนี้ก็ยังต่อสู้อยู่

“หากให้ผมประเมินม็อบของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ผมคงไม่อยู่ในฐานะที่จะประเมินได้ว่า การเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาประชาชนตอนนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน เพราะเมื่อพวกเขาออกมายืนบนวิถีของการต่อสู้ และได้วางอิสระภาพของตัวเองลงเป็นเดิมพัน พวกเขาก็เท่ากันกับผม ถ้าผมเป็นนักสู้ พวกเขาก็เป็นนักสู้เหมือนกัน ผมขอแสดงตัวเคียงข้างนิสิต นักศึกษาประชาชนที่กำลังต่อสู้ในปัจจุบัน แต่ขอปฏิเสธข้อกล่าวหาบิดเบือนให้ร้ายป้ายสีว่า การแสดงจุดยืนเช่นนี้หมายถึงการโค่นล้มสถาบันฯ”

“ผมเป็นคนเสื้อแดง เป็นมาสิบกว่าปีและตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายที่เป็นคนเสื้อแดง พวกเราเป็นคนที่ถูกยิงทิ้งเสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เราถูกขับไล่เหยียบย่ำแบบรับคำเหยียดหยาม ถูกเรียกเป็นควาย ขบวนการล้มเจ้า ถูกกาหัวว่าเป็นพวกไร้การศึกษา สิบกว่าปีที่ผ่านมาพวกผมต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ แต่คนหนุ่มสาวเหล่านี้พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่หยิบยื่นความเข้าใจ เห็นใจ หยิบยื่นเกียรติยศ พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ตะโกนเรียกพวกผมที่กลางท้องถนน เป็นคนกลุ่มแรกที่บอกว่า เข้าใจเห็นใจเรา และเป็นคนกลุ่มแรกที่ขอโทษพวกเรา ในนามของมนุษย์ผมทิ้งพวกเขาไม่ได้”