หลังจากนายอานนท์ นำภา และภานุพงศ์ จาดนอก สองนักกิจกรรมทางการเมือง ถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตามหมายจับในคดีการชุมนุมของ
#เยาวชนปลดแอก เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 63 และถูกพนักงานสอบสวนเร่งรีบนำตัวมาขออำนาจศาลอาญาฝากขัง
.
พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ ได้ยื่นคำร้องฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองคนเป็นระยะเวลา 12 วัน โดยอ้างเรื่องการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบพยานเพิ่มอีก 6 ปาก และรอผลตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา ทั้งยังขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสองคน ระบุเหตุผลว่า ผู้ต้องหามีพฤติการณ์จะไปชุมนุมก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
.
ขณะที่ผู้ต้องหาทั้งสองคนก็ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขัง โดยยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่ได้มีพฤติการณ์จะหลบหนี และคดีไม่มีความจำเป็นต้องฝากขังผู้ต้องหาเอาไว้ ทั้งยังยืนยันว่าคดีนี้เกี่ยวเนื่องกับการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ พร้อมกับยื่นคำร้องในการประกันตัวเตรียมไว้หากศาลอนุญาตให้ฝากขัง
.
อานนท์ นำภา ยังได้แถลงขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวน โดยเห็นว่ากระบวนการฝากขังเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เกิดขึ้นนอกเวลาราชการ คือหลังเวลา 16.00 น. ทั้งยังเห็นว่าไม่ควรนำกระบวนการยุติธรรมมาใช้จำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน
.
ต่อมาเวลา 20.35 น. อานนท์และภาณุพงศ์ได้ตัดสินใจยื่นขอถอนคำร้องขอประกันตัว ทำให้หากศาลอนุญาตให้ฝากขัง ทั้งสองคนจะถูกนำตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทั้งสองคนยังเขียนข้อความแสดงจุดยืนในการไม่ขอประกัน
.
เวลาประมาณ 21.30 น. รองอธิบดีศาลอาญาได้มาเป็นผู้ไต่สวนคำร้องขอฝากขังด้วยตนเอง หลังพนักงานสอบสวนให้การตามคำร้องขอฝากขัง ทนายความผู้ต้องหาได้ถามค้านว่า คำร้องขอฝากขังที่อ้างว่ามีเหตุในการฝากขังคือ รอสอบพยานเพิ่มอีก 6 ปาก, รอผลพิมพ์ลายนิ้วมือและประวัติอาชญากรนั้นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา อีกทั้งพนักงานสอบสวนสามารถรวบรวมหลักฐานซึ่งเป็นคลิปการปราศรัยได้อยู่แล้วโดยผู้ต้องหาไม่สามารถยุ่งเหยิงพยานหลักฐานดังกล่าวได้ และการออกหมายจับโดยไม่มีการออกหมายเรียกก่อนทั้งที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในคดีอื่นของ สน.สำราญราษฎร์ ที่ผู้ต้องหาเป็นจำเลยอยู่นั้น ก็มีการออกหมายเรียกก่อน และผู้ต้องหาก็ให้ความร่วมมือตามกระบวนการไม่เคยหลบหนี จึงไม่มีความจำเป็นต้องออกหมายจับในคดีนี้
.
พนักงานสอบสวนตอบว่า เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงเกิน 3 ปี จึงสามารถออกหมายจับตามกฎหมายได้อยู่แล้ว
.
ทนายความถามอีกว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหามาฝากขังต่อศาลหลังเวลาราชการ ทราบหรือไม่ว่าศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษายกคำร้องฝากขังแล้ว
.
ทนายความผู้ต้องหาถามพนักงานสอบสวนว่า เสรีภาพในการชุมนุมได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนสามารถชุมนุมได้ใช่หรือไม่ แต่ศาลแย้งว่า ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับประเด็นไต่สวนฝากขัง จึงไม่บันทึกให้ แต่ทนายแถลงว่าเป็นประเด็นโดยตรงที่ผู้ต้องหาถูกออกหมายจับและนำตัวมาฝากขังและยืนยันให้ศาลบันทึก
.
เวลาประมาณ 21.50 น. ศาลอ่านคำสั่ง มีใจความว่า พิเคราะห์แล้วได้ความจากพนักงานสอบสวน ตอบทนายผู้ต้องหาถามค้านได้ความว่า นำตัวผู้ต้องหามาฝากขังหลังเวลา 16.00 น. จึงมีคำสั่งให้คืนคำร้องขอฝากขัง ให้ผู้ร้องรับตัวผู้ต้องหาคืน และยื่นคำร้องขอฝากขังภายใน 48 ชั่วโมงตามกฎหมาย
.
อย่างไรก็ตาม หลังศาลออกจากห้องพิจารณาไปแล้ว อานนท์และภาณุพงศ์ยังนั่งอยู่ในห้องพิจารณา ยืนยันว่าจะไม่ไปสถานีตำรวจ เนื่องจากตำรวจหมดอำนาจควบคุมตัวแล้ว
.
22.45 น. ตำรวจ, เจ้าหน้าที่ศาล และ รปภ. ตั้งแถวรอเตรียมจะพาตัวอานนท์และภาณุพงศ์ ไป สน.สำราญราษฎร์ ทนายความและประชาชนจึงเข้ายืนขวาง และยืนยันว่าตำรวจไม่มีอำนาจควบคุมตัวแล้ว
.
23.10 น. ทนายผู้ต้องหาแจ้งว่า รองอธิบดีศาลอาญาลงมาชี้แจงว่าตำรวจยังมีอำนาจในการควบคุมตัวแต่ศาลจะไม่ออกหมายขัง
.
23.20 น. ตำรวจไม่น้อยกว่า 30 นาย ตั้งแถวเพื่อรอรับตัวทั้งสองไปขังที่สถานีตำรวจ
.
23.30 น. อานนท์ไม่ยินยอมให้ตำรวจพาไปขังที่สถานีตำรวจ จึงยืนเฉยๆ และกล่าวกับตำรวจว่า “ถ้าคิดว่ามีอำนาจจับก็จับไป” แต่ตำรวจพยายามผายมือเชิญ ไม่จับ ขณะที่ประชาชนตะโกนว่า “ข้าราชการ ต้องรับใช้ ประชาชน”
.
23.35 น. ตำรวจหิ้วตัวอานนท์และภาณุพงศ์ ขึ้นรถตู้ตำรวจออกจากศาลอาญา ขณะประชาชนตะโกน “หยุดอุ้มประชาชน” โดยยังไม่รู้ว่าพาไปขังที่ใด
.
23.50 น. ตำรวจควบคุมตัวอานนท์ และภาณุพงศ์ ถึงสน.ห้วยขวาง