‘ตลท.’ ไม่หวั่นหุ้นไทยถูกราคาน้ำมันร่วงฉุดดัชนีดิ่ง ถกคลัง-ธปท-ก.ล.ต เตรียมรับมือเต็มที่

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันหลังจากราคาน้ำมันดิบโลก ที่ปรับฐานลงแรงหลุดระดับ 40 เหรียญต่อบาร์เรล หรือลดลงรวมกันเฉลี่ยกว่า 30% โดยตลาดหุ้นไทยในภาคเช้าปรับลดลงกว่า 92.37 จุด หรือ 6.77% ดัชนีหุ้นไทยหลุดมาอยู่ที่ระดับ 1,272.20 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลงมากกว่า 5-6% สาเหตุมาจากราคาน้ำมันที่กดดันบรรยากาศในภาพรวม ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงมีการรายงานให้กับกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รับทราบเบื้องต้นแล้ว

“ตลท.ได้ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อหาแรงสนับสนุนให้ตลาดมีกระแสเงินลงทุนใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น โดยกระทรวงการคลังได้มีแนวคิด ในการนำกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (เอสเอสเอฟ) ที่ลงทุนในหุ้นออกมา และมีมาตรการที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หรือผู้บริโภค รวมถึงยังอยู่ระหว่างการพิจารณาหามาตรการที่จะสนับสนุนบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทจัดการกองทุนต่างๆ ซึ่งคาดว่าเร็วๆ นี้จะมีมาตรการเร่งด่วนออกมาเร็วที่สุด ส่วนมาตรการระยะยาวจะตามออกมา” นายภากรกล่าว

นายภากรกล่าวว่า ตลท.และคลังมีคณะกรรมทำงานร่วมกันในหลายๆ เรื่อง ซึ่งมีทั้งคณะทำงานที่ตั้งขึ้นใหม่ และชุดเดิมที่มีอยู่แล้ว เพื่อรับมือเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ โดยมาตรการจะมี 2 ส่วน เป็นมาตรการระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 จำเป็นต้องมีมาตรการระยะสั้นที่เร่งช่วยเหลือทันที ส่วนมาตรการระยะยาวต้องแก้ไขหรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของตลาดทุนไทย

นายภากรกล่าวว่า ในแต่ละอุตสาหกรรมของบริษัทจดทะเบียนไทย ได้รับผลกระทบไม่เหมือนกัน กลุ่มหุ้นที่กระทบจากราคาน้ำมัน แบ่งเป็น 3 กลุ่มขนาดใหญ่ของประเทศคือ 1.พลังงาน 2.ทรัพยากร และ 3.ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มมีผลต่อขนาดตลาดหรือมาร์เก็ตแคปประมาณ 45-50% โดยหุ้นพลังงานและทรัพยากรได้รับผลกระทบเต็มๆ มีน้ำหนักรวมเกือบ 30% ส่วนกลุ่มธนาคารได้รับผลเกี่ยวเนื่อง เพราะถูกกระทบจากลูกค้าประมาณ 15%

นายภากรกล่าวว่า ต้องพิจารณาหาความเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยในการลงทุน เพราะขณะนี้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่หายไปลดลงค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับผลกระทบทั้งปี โดยหากกลับไปดูการบันทึกข้อมูลการซื้อขายของตลาดหุ้นไทย ยังเป็นปกติตามเดิมเหมือนที่มีการซื้อขายในช่วงปกติ ไม่ได้มีการเข้าแทรกแซงในการซื้อขายของโปรแกรมการซื้อขายต่างๆ ต้องยอมรับว่าในปี 2563 เป็นปีที่มีเหตุการณ์ไม่ปกติค่อนข้างมาก และมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมาโดยตลอด ตลท.ได้เตรียมรับมือไว้แล้ว รวมถึงได้ติดตามใกล้ชิดในทุกประเภทอุตสาหกรรม เนื่องจากภาครัฐมีความกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ

“การใช้มาตรการหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว หรือ “เซอร์กิตเบรกเกอร์” ยังไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะยังไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก เนื่องจากยังไม่ถึงอัตราส่วนที่กำหนดต้องใช้ และในส่วนของหุ้นแต่ละตัวจะมีกำหนดเพดานไว้ หากราคาปรับขึ้นลงเกินปริมาณการซื้อขายในช่วงวันก่อนหน้า ราคาหุ้นที่ซื้อขายจะได้ไม่เกินนั้น ทำให้ตอนนี้ทุกอย่างยังเป็นปกติ โดยอยากแนะนำนักลงทุนว่า ในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก ต้องติดตามความเคลื่อนไหวและอ่านบทวิเคราะห์ถึงผลกระทบกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะผลกระทบมีทั้งบวกและลบ ซึ่งจะมีในบางอุตสาหกรรมที่ถูกกระทบมาก จึงต้องดูว่าถูกกระทบมากเกินความเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งการที่ราคาปรับลดลงมาก ก็ถือเป็นช่วงในการลงทุนได้” นายภากรกล่าว