ครม.ดาหน้าแจงไม่หยุด ‘บิ๊กตู่’ ขอให้เกียรติยศทหาร ถ้าเป็นพลเรือน เรียกอะไรไม่ว่า

นายกฯ-รมต.ดาหน้าแจงไม่หยุด ‘บิ๊กตู่’ ขอทุกฝ่ายให้เกียรติยศทหาร-ตำรวจ บอก ถ้าเป็นพลเรือนจะเรียกอะไรไม่ว่า ด้าน ‘อุตตม’ แจง หอชมเมืองเป็นการพัฒนาที่ดินตาบอด ขณะที่ ‘บิ๊กป๊อก’ ยันรถไฟฟ้าสายสีทองไม่เอื้อเอกชน-ประเทศ-ปชช.ได้ประโยชน์

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ โดยมีศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเป็นวันที่ 2 โดยประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงเวลาอภิปรายที่ใช้ไปเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ว่าไม่นับเวลาของฝ่ายใด ประธานสภาชี้แจงหรือสมาชิกหารือ ประท้วง ใช้สิทธิพาดพิง หรือกรณีอื่นๆ ใช้ไป 1 ชั่วโมง 27 นาที 58 วินาที ครม.อภิปรายตอบชี้แจง จำนวน 7 ท่าน ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 45 นาที 19 วินาที พรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปราย จำนวน 6 ท่าน ใช้เวลา 9 ชั่วโมง 47 นาที 32 วินาที

ทั้งนี้ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล ) ชี้แจงว่า จากการหารือกันจะให้เวลาฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอภิปรายจนถึงเวลา 19.00 น. วันที่ 27 กุมภาพันธ์ จากนั้นจะให้ฝ่ายค้านกล่าวสรุปปิดญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และมาลงมติในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ต่อไป จึงขอให้ฝ่ายค้านช่วยบริหารเวลาด้วย

ขณะที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ฝ่ายค้านขอร้องฝ่ายรัฐบาลและรัฐมนตรีที่อภิปรายชี้แจง ขอให้ชี้แจงในประเด็นที่อยู่ในญัตติที่ถูกกล่าวหา ไม่ใช่ชี้แจงไปเรื่อยในเรื่องที่ไม่ถูกกล่าวหา แต่พยายามอธิบายเพิ่มเติม ทำให้เสียเวลา

จากนั้น เวลา 09.45 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอใช้สิทธิชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า การชี้แจงของรัฐบาลมีความจำเป็นต้องพูดถึงกระทรวงหลายกระทรวง แม้นายกฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาลและกำหนดแนวทางการทำงาน แต่ไม่ได้เป็นคนทำงานทั้งหมดเพียงผู้เดียว ตั้งแต่สมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขอให้ประชาชนรับฟังข้อเท็จจริงและคำตอบเพื่อให้เกิดการรับรู้และสร้างความปรองดอง เพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งฝ่ายโดยไม่มีหลักการ

“กรณีเรื่องการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ถ้าเป็นพลเรือนด้วยกัน ผมไม่ห่วงว่าจะเรียกกันว่าอะไร แต่สำหรับทหารและตำรวจทั้งหลายได้ร่วมพิธีถวายสัตย์และรับพระราชทานยศมาด้วยกัน กรุณารักษาศักดิ์ศรีของตัวเองกันไว้ด้วย ผมไม่ได้โกรธเคืองอะไรท่านเลย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีของการก่อสร้างหอชมเมืองนั้นเป็นโครงการของเอกชนเพื่อเป็นภูมิสถานอยู่คู่กับแผ่นดินบนที่ดินราชพัสดุ ไม่ใช่โครงการของรัฐและไม่มีการใช้งบประมาณของรัฐ และเมื่อสร้างเสร็จแล้วจะยกให้กับกรมธนารักษ์ประมาณ 4,423 ล้านบาท ส่วนข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับ กสทช.ที่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนนั้นได้มีหนังสือขอผ่อนผันการชำระเงินทั้ง 3 วาระ ทำให้ต้องมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน แต่เป็นการให้ความเป็นธรรมและต้องมีการเยียวยา

ด้านนายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง ชี้แจงว่า โครงการหอชมเมืองนี้เกิดขึ้นมานานแล้วจากการรวมตัวของภาคเอกชนและสถาบันการเงินกว่า 50 องค์กร ที่จัดตั้งเป็นมูลนิธิหอชมเมืองขึ้นมา โดยเป็นมูลนิธิที่ไม่แสวงหากำไรมาแบ่งกันโดยจดทะเบียนมูลนิธิเมื่อวันที่ 8 ต.ค.2557 หลังจากนั้นมูลนิธิได้เข้าไปเสนอกับกรมธนารักษ์ว่าขอใช้พื้นที่ของกรมธนารักษ์ในเขตคลองสาน จำนวน 4 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวา จากการตรวจสอบข้อมูลที่สมาชิกระบุว่าเป็นพื้นที่ว่างของที่ราชพัสดุเดิม ไม่มีการนำไปใช้ประโยชน์ ไม่มีการเช่า ไม่มีการพัฒนาอย่างใดทั้งสิ้น เหตุผลหลักเพราะเป็นที่ตาบอด ไม่ค่อยเหมาะสมกับการพัฒนา แจ้งทางเข้าออกไม่สะดวก กระทรวงการคลังเมื่อได้รับข้อเสนอโดยกรมธนารักษ์ ก็ได้แจ้งกลับไปยังมูลนิธิว่าขอให้ไปปรึกษาหารือเรื่องปัญหาจราจร ปัญหาสิ่งแวดล้อมกับ กทม. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อน ถึงจะมาพูดจากันเรื่องขอเสนอการลงทุนพัฒนาพื้นที่

นายอุตตมกล่าวต่อว่า หลังจากที่มูลนิธิได้ไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีการแก้ไขปัญหา อาทิ จัดหาพื้นที่จำนวนกว่า 2,200 ตรางเมตร และยอมจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมให้ทางเข้าออกของโครงการหอชมเมืองแล้วจึงกลับมาศึกษาการลงทุนร่วมกับกรมธนารักษ์ ซึ่งทางกรมธนารักษ์ได้จัดจ้างสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อศึกษาความเหมาะสมในการลงทุนร่วมกันดังกล่าว จากผลสรุปของการศึกษา ทางสถาบันบอกว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวมีมูลค่ารวมประมาณ 100.87 ล้านบาท ขณะที่มูลนิธิตามข้อเสนอจะต้องลงทุนประมาณ 4,478 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ที่ดินของกรมธนารักษ์ที่เป็นที่ตาบอดจะมีมูลค่าสูงขึ้นจากการพัฒนา ขณะเดียวกันหอชมเมืองก็มีความสูงพอสมควรเกือบ 460 เมตร ซึ่งเป็นหอชมเมืองที่มีความสูงระดับ 6 ในเอเชีย สามารถที่จะมีประโยชน์กระตุ้นการส่งเสริมรายได้จากการท่องเที่ยวได้ ซึ่งเป็นรายได้สำคัญขอประเทศ ซึ่งตัวเลขปี 2557 รายได้จากการท่องเที่ยว จำนวน 1.17 ล้านล้านบาท ปี 2560 เพิ่มเป็น 1.83 ล้านล้านบาท

นายอุตตมกล่าวต่อว่า ที่สำคัญโครงการหอชมเมืองมีความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น ภายในหอชมเมืองที่ต้องการดำเนินการในเรื่องของศาสตร์พระราชาเพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพื้นที่แสดงศาสตร์พระราชาให้ผู้เข้าชมทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ซึ่งตนได้สอบถามกรมธนารักษ์ว่าในขณะนั้นมีประโยชน์อะไรอีกบ้าง ปรากฏว่ากรมธนารักษ์จะได้ประโยชน์จากการเก็บค่าธรรมเนียม และการพัฒนาโครงการตลอดอายุสัญญา 30 ปี เป็นเงินประมาณ 62 ล้านบาท จากที่ดินเดิมที่ไม่เคยได้รับประโยชน์อะไร และเห็นว่าเจตนารมณ์ของมูลนิธิที่จดไว้ว่าไม่มุ่งแสวงหากำไร หากมีกำไรมูลนิธิก็ต้องเอามาพัฒนาชุมชนโดยรอบ ซึ่งรัฐเห็นว่าเป็นการตอบแทนสังคมที่ดีจึงพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการ แต่เป็นโครงการที่มีการลงทุนสูงจึงได้ดำเนินการตามกฎหมาย

นายอุตตมกล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องการไม่เปิดให้มีการประมูลให้เอกชนแข่งขัน ทางกรมธนารักษ์ชี้แจงว่า กรมธนารักษ์ได้พิจารณาโดยเห็นว่าที่ดินดังกล่าวเป็นพื้นที่ตาบอด ไม่เหมาะสมกับการพัฒนาและไม่เคยมีใครยื่นขอเช่าที่แปลงดังกล่าวเลย ประกอบกับเห็นประโยชน์ ความจำเป็นในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว เป็นแลนด์มาร์กแห่งหนึ่งของการท่องเที่ยว ที่สำคัญเป็นการน้อมนำศาสตร์พระราชาไปสู่การปฏิบัติได้ ดังนั้น หากใช้วิธีประมูลก็จะก่อให้เกิดความล่าช้าได้ จึงให้กระทรวงการคลังดำเนินการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการร่วมทุนซึ่งพิจารณาอย่างรอบคอบ

ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงข้อกล่าวหาว่าการอนุมัติก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีทองเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีทองอยู่ในแผนพัฒนาระบบขนส่งมวลชนขนาดรองของ กทม.ตั้งแต่ปี 2552 โดยให้สายรองเป็นอำนาจดำเนินการของท้องถิ่น ต่อมาคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกเห็นชอบให้ กทม.ดำเนินการโครงการและมีมติ ครม.เห็นชอบให้ กทม.ดำเนินการ ในระหว่างนั้น กทม.โดยบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) หาแนวทางที่จะลงทุนในส่วนนี้ เพราะ กทม.ไม่มีสภาพคล่อง โดยทางเคทีตกลงกับภาคเอกชนที่จะให้เอกชนซื้อโฆษณาล่วงหน้าของสายสีทอง จำนวน 30 ปี ประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าของการโฆษณามีจำนวนมาก และหลังจากนั้น กทม.มอบหมายให้เคทีดำเนินการ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่พึ่งงบประมาณของ กทม. เคทีก็ได้ลงนามในเอ็มโอยูเรื่องโฆษณา เมื่ออนุมัติดำเนินการ ทางเอกชนให้งบประมาณกับเคทีเพื่อเป็นค่าโฆษณา เคทีไปดำเนินการสร้างโยธาของสายสีทอง ถ้าพิจารณาตรงนี้ถือว่าระบบขนส่งมวลชนเป็นความจำเป็นของทุกเมือง เพราะสามารถแก้ไขปัญหาการจราจร สิ่งแวดล้อม ลดการใช้ยานพาหนะของประชาชน และลดอุบัติเหตุ ระบบขนส่งมวลชนที่จะต้องเป็นระบบรางที่มีทั้งระบบหลักและระบบราง เพื่อดึงให้คนเข้าสู่ระบบการขนส่งมวลชนให้มากที่สุด

พล.อ.อนุพงษ์กล่าวต่อว่า ปัญหาของการดำเนินการคือ ทำได้ช้ามากและใช้เงินลงทุนมาก กว่าจะคุ้มทุนต้องใช้เวลา 10 ปี ในอดีตที่ผ่านมามีเอกชนลงทุนงานโยธาเพียงฝ่ายเดียวคือบีทีเอส และประสบปัญหาการขาดทุน จากนั้นเป็นต้นมาภาครัฐต้องเข้ามาลงทุนสร้างงานโยธาเองและจ้างบริษัทเดินรถ ทำให้การลงทุนได้ล่าช้า จึงนำมาสู่การลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง หากมีเอกชนรายใดต้องการสร้างงานโยธาของระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่และขอดำเนินการลงทุนทั้งหมดก็ควรจะต้องพิจารณา โดยมีหลักการพิจารณาว่าถ้าประเทศชาติได้ประโยชน์ก็ควรรับพิจารณา แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมายและเป็นธรรม มิเช่นนั้นจะต้องรอให้รัฐลงทุนเองซึ่งเป็นไปได้ช้ามากเรื่องนี้เมื่อมีการดำเนินการก่อสร้างแล้ว รัฐจะได้เส้นทางสายสีทองมาโดยไม่ได้ลงทุนงานก่อสร้าง ประชาชนได้สายรองในพื้นที่ที่จะสามารถขยายต่อไปได้อีก ส่วนเอกชนก็สามารถดำเนินประกอบธุรกิจได้ ส่วนการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีปี 2537 ที่ให้พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์จะต้องสร้างเป็นระบบใต้ดินนั้นสายสีทองเป็นสายรองที่ต้องเชื่อมกับสายอื่นๆ เช่น สายสีเขียวที่มีอยู่แล้ว หากไม่ทำเช่นนี้จะต้องใช้เงินลงทุนและเวลาดำเนินการอีกมาก ดังนั้น มติ ครม.จึงยกเว้นให้สามารถก่อสร้างบนดินได้ เพื่อเชื่อมกับสายสีเขียว

“อยากเสนอสภาให้ช่วยพิจารณาเรื่องคำว่า ‘เอื้อ’ ด้วย การลงทุนในประเทศจะต้องมีนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ จึงต้องมีช่องให้นักลงทุนภายในประเทศได้มีโอกาสลงทุน ขณะนี้สังคมกำลังคิดว่าทางเอกชนรวยมากและได้เปรียบ ขอให้ลองพิจารณาดูว่าที่จะให้คนที่รวยที่ลงทุนในแผ่นดินภายใต้กฎหมาย ถ้าไม่ให้ลงทุนแล้วก็อยู่อย่างนี้อยู่เฉยๆ หรือ เมื่อเรามีความสามารถจะทำได้ ก็ควรดำเนินการ ในครม.นายกฯ เพียงคนเดียวสั่งไม่ได้ เพราะไม่มีใครยอมไปเป็นคดี อยู่ใน ครม.ก็มีหลายเรื่องที่ไม่เห็นด้วย และก็ถอนกลับไปเสมอ ดังนั้น มติ ครม.ก็เป็นมติ ครม.ไม่ใช่นายกฯ” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว