‘พิพัฒน์’ มั่นใจท่องเที่ยวชุมชนช่วยฟื้นเศรษฐกิจฐานราก

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่เยี่ยมชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ บ้านไร่กองขิง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ว่า การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยว จำเป็นที่จะต้องเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมการท่องเที่ยวสำหรับรองรับผู้มาเยือน ดังนั้นการท่องเที่ยวโดยชุมชนจึงตอบโจทย์ทั้งเรื่องการเพิ่มแหล่งท่องเที่ยว และการกระจายรายได้สู่ฐานราก เพราะแต่ละชุมชนมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่มีเสน่ห์ เพราะด้วยนิสัยของคนไทยคือมีการต้อนรับนักท่องเที่ยวและแขกผู้มาเยือนได้อย่างเป็นกันเอง ทำให้ท่องเที่ยวของประเทศไทยยังมีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศรอบบ้านเราที่มีการเติบโตของการท่องเที่ยวสูง เช่น มาเลเซีย เวียดนาม พม่า เป็นต้น

“ผมอยากจะบอกกับคนไทยทั้ง 4 หรือ 5 ภาค ว่าใครอยู่ภาคไหนให้คงอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ เรามีทุนดีเรื่องวัฒนธรรมประเพณี การต้อนรับ และสิ่งสำคัญคือ เรามีวัฒนธรรมอาหารที่เข้มแข็ง ให้คงไว้ทั้งหมด อย่าคล้อยตามนักท่องเที่ยว เพราะจะทำให้เราขาดอัตลักษณ์ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญมาก หากเราต้องการทำท่องเที่ยวให้มีเสน่ห์ อย่างยั่งยืน”นายพิพัฒน์กล่าว

นายพิพัฒน์กล่าวว่า อย่างไรก็ตามการทำท่องเที่ยวยังจำเป็นต้องมีทิศทางของการพัฒนา จุดนี้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท. จะยังเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญ ที่ทำงานต้นน้ำให้เกิดความเข้มแข็งได้ เพราะ อพท. จะนำองค์ความรู้ด้านการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน ไปพัฒนาบนฐานทรัพยากรของชุมชนที่มีอยู่ ให้เกิดเป็นกิจกรรมทางการท่องเที่ยวด้สนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ขณะที่กรมการท่องเที่ยวคือหน่วยงานกลางน้ำที่ทำหน้าที่นำกฏหมายกฏระเบียบมาใช้กำหนดการทำท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้องเป็นสากล และหน่วยงานปลายน้ำอย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะทำหน้าที่ด้านการตลาด นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เกิดการรับรู้

“จากนโยบายการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนให้เข้มแข็งและยั่งยืน นำมาซึ่งกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวสู่เศรษฐกิจฐานรากอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ชุมชนบ้านไร่กองขิง จึงถือเป็นตัวอย่างที่ดีของความสำเร็จจากการพัฒนา เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์กระแสการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่ต้องการสัมผัสประสบการท้องถิ่นที่จริงแท้ หรือ Local Experiences พร้อมขยายผลพัฒนาเครือข่ายชุมชนท่องเที่ยวคุณภาพจากระดับท้องถิ่นสู่ระดับชาติ”นายพิพัฒน์กล่าว

นายพิพัฒน์กล่าวว่า สำหรับชุมชนบ้านไร่กองขิงเกิดจากการพัฒนาของ อพท. โดยนำต้นทุนทางวิถีวัฒนธรรมที่เป็นอัตลักษณ์และทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนมาสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้มาท่องเที่ยวสัมผัสและเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น เยาวชนได้มีส่วนร่วมอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปะวัฒนธรรมการตีกลองสะบัดชัยในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ปราชญ์ชุมชนได้มานำเสนอการนวด “ย่ำขาง” นวดบำบัดโรคภัยแบบพื้นบ้านล้านนาโดยพัฒนาเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้สัมผัสเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เช่น กลุ่มแม่บ้านมาสอนทำ “ลูกประคบสมุนไพรออแกนิก” กิจกรรมนวดด้วยลูกประคบสมุนไพร ซึ่งเราจะเห็นการท่องเที่ยวรูปแบบนี้จะทำให้ทุกวัยทุกเพศได้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานเกิดเห็นคุณค่าและรักษษไว้ให้เกิดความยั่งยืน

“ท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมของการขับเคลือนเศรษฐกิจในยุคนี้ ดังนั้นจึงต้องผลักดันให้รัฐบาลเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งนอกจากตนจะผลักดันให้กระทรวงการท่องเที่ยวเป็นกระทรวงเศรษฐกิจ ในการจัดทำงบประมาณปี 2564 ที่เตรียมดำเนินการนั้น ตนจะต้องผลักดันให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานที่ทำงานด้านการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น หรืออย่างน้อยต้องเพียงพอกับภารกิจที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับมอบหมาย เพราะเราต้องทำงานต้องสู้กับทั้งสภาวะโลกและสภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยในปี 2563 นายกรัฐมนตรีตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาประเทศไทยที่ 42 ล้านคน เพิ่มขึ้นราว 2 ล้านคน จากปี 2562 ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาประเทศไทยจบที่ตัวเลข 40 ล้านคน” นายพิพัฒน์กล่าว