เผยแพร่ |
---|
‘เอกชน’เสนอกนง.ลดดอกเบี้ย0.25% หวังฟื้นเศรษฐกิจยาวถึงปี’63
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์ เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ทำการลดดอกเบี้ยนโยบายลงขั้นต่ำ 0.25% จากระดับ 1.50% จะถือว่าเป็นความคงเส้นคงวาของการวางนโยบายในเรื่องของการดูแลเงินเฟ้อ เป็นหน้าทีของธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ไม่ให้ต่ำเกินไป โดยเป้าหมายเงินเฟ้อในขณะนี้อยู่ที่ 1-4% ซึ่งอัตราเงินเฟ้อของไทยต่ำกว่า 1% และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยยังไม่มีสัญญาณที่จะฟื้นตัวขึ้น
“ตอนนี้เศรษฐกิจไทยมีสัญญานของการชะลอตัวลง ซึ่งวัดได้จากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และเงินเฟ้อพื้นฐานปรับตัวลดลง บ่งบอกถึงกำลังซื้อทั่วไปของประชาชนยังชะลอตัวต่อเนื่อง ดังนั้น การลดดอกเบี้ยของแบงก์ชาติจะเป็นผลดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างน้อยก็จะช่วยให้มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ข้อสำคัญการลดดอกเบี้ยจะช่วยให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และภาคประชาชน มีภาระในการจ่ายอัตราดอกเบี้ยลดลง โอกาสในการจับจ่ายใช้สอยและการกู้ยืมเพื่อซื้อสินทรัพย์ก็จะเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น” นายธนวรรธน์กล่าว
ทั้งนี้ ถึงแม้ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยธนาคารพาณิชย์ ยังมีการดูแลในเรื่องของการปล่อยสินเชื่อยังอยู่ในกรอบที่เหมาะสม หากยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้จะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจในช่วงปลายดีปรับตัวดีขึ้น โดยจะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจในปี 2563 ฟื้นตัวอยู่ที่ 3% ซึ่งในปีหน้าภาครัฐได้มีการตั้งเป้าการเติบโตทั้งปีอยู่ที่ 3.5% ภายใต้เศรษฐกิจโลกที่มีบรรยากาศคลี่คลายลง แต่ถ้าไม่มีการลดอัตราดอกเบี้ยก็อาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไม่มีการฟื้นตัว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยยังไม่ใช้ปัจจัยเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น ต้องดูแลควบคู่ไปกับนโยบายการคลัง และต้องมีการส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าการลดดอกเบี้ยและการใช้นโยบายการคลังของรัฐบาล ไม่กระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาได้จะถถือว่าเป็นสัญญาณที่อันตรายเป็นอย่างมาก มองว่าควรจะต้องมีการปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2562 เป็นต้นไป เพราะตอนนี้ไทยยังมีการเติบโตต่ำสุดในอาเซียน ดังนั้นรัฐจะต้องผลักดันให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 4-5% ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีให้ได้
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ปัญหาของเศรษฐกิจไทยในตอนนี้ คือเม็ดเงินในภาคการส่งออกสูญหายไปจากระบบเศรษฐกิจกว่า 2-3 แสนล้านบาท ส่วนมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ โครงการชิมช้อปใช้ และโครงการประกันรายได้เกษตรกร เชื่อว่าทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 70,000 – 1 แสนล้านบาท ดังนั้นในช่วงต้นปี 2563 รัฐจะต้องเร่งผลักดันให้มีงบลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกให้ได้ไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท