สรุปวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา “รัฐบาลประยุทธ์ 2” ฝุ่นตลบ-ประท้วงตั้งแต่ต้น

เริ่มต้นขึ้นแล้วสำหรับ รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและอดีตผู้นำก่อการรัฐประหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติก่อนนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2557 ได้ปรากฎตัวต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสภาชิกวุฒิสภา เพื่อแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา โดยสรุปเหตุการณ์วันนี้ตามช่วงเวลาต่างๆไว้

เวลา 09.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินทางถึงรัฐสภาชั่วคราว หอประชุมทีโอที ท่ามกลางการคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยได้ตอบกับสื่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ไม่ตื่นเต้น ธรรมดา เพราะอยู่มา 5 ปีแล้ว

“ประยุทธ์” เจอรับน้อง “ฝ่ายค้าน” ท้วงให้แถลงนโยบายไม่ใช่อภิปราย

เวลา 10.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มอ่านแถลงนโยบาย แต่อ่านได้ไม่นาน ก็ปรากฎการทักท้วงจากสมาชิกสภาฝ่ายค้าน อย่าง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว จากพรรคเพื่อไทย, นายคารม พลพรกลาง พรรคอนาคตใหม่ ต่อท่าทีของการอ่านแถลงนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ออกลักษณะอภิปรายมากกว่าการอ่านแถลงนโยบายทุกถ้อยคำ อ่านข้ามประเด็น แสดงภาษากายเหมือนกับสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา จนทำให้สมาชิกสภาฝ่ายค้านทักท้วงว่าต้องอ่านทุกถ้อยคำเพื่อบันทึกไว้ในรายงานการประชุมสภา และกล่าวว่าที่นี่รัฐสภาไม่ใช่ค่ายทหาร

“ประยุทธ์” โดนท้วง อ่านข้าม 2 หน้า ก่อนขอโทษอ้างนโยบายมีเยอะ

เวลา 10.40 น. นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วง ระบุว่า ได้รับแจ้งจากประชาชนว่า นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบาย โดยอ่านข้ามหน้า 14-15 ไป ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหา เพราะนโยบายในหน้าดังกล่าว จะไม่ถูกบันทึกไว้ในบันทึกที่ประชุมรัฐสภา จึงขอให้ประธานพิจารณาให้นายกรัฐมนตรีอ่านให้ครบ ทำให้ส.ส.พลังประชารัฐ ประท้วงว่า การประท้วงของฝ่ายค้าน ต้องมีจริยธรรม ต้องมีการอ้างข้อบังคับ ไม่ควรปล่อยให้พูดเฉยๆแบบนี้โดยไม่อ้างข้อบังคับ

ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาวินิจฉัยว่า การประท้วงของฝ่ายค้านทำได้ ประธานรับฟัง เพราะอยู่ในกฎเกณฑ์ แต่ขอให้เพิ่มความระวังมากขึ้น ทั้งยังขอให้นายกรัฐมนตรีกลับไปอ่านให้ครบ ด้านพล.อ.ประยุทธ์ กล่าว ขออภัย และระบุว่านโยบายมันเยอะ

“มิ่งขวัญ” แนะ “ประยุทธ์” อ่านย่อหน้าแรก ให้แถลงนโยบายครบถ้วน-สมบูรณ์

เวลา 11.40 น. หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ เสร็จสิ้นการแถลงนโยบายเป็นเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที ก่อนนั่งลงด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อยจากการอ่านนโยบายต่อเนื่อง จากนั้น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่ ได้เสนอแนะให้อ่านย่อหน้าที่ 1 ของคำแถลงนโยบายโดยชี้ว่าเป็นสาระสำคัญ จึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ แถลงให้สมบูรณ์และถูกต้อง จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขอบคุณและได้อ่านตามคำแนะนำของนายมิ่งขวัญจนจบ

“สมพงษ์” เปิดเกมส์ ซัดรัฐบาลไม่สง่างาม มีแต่รมต.หน้าเดิม ใช้กลเล่ห์เพื่อสืบทอดอำนาจ

เมื่อเวลา 12.00 น. นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและประธานวิปฝ่ายค้าน เป็นผู้เริ่มอภิปรายเป็นคนแรก โดยสาระสำคัญของนายสมพงษ์คือ 1. ความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลผ่านรัฐธรรมนูญที่ถอยหลังประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับนี้แม้จะผ่านการทำประชามติ แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็น “ประชามติแบบมัดมือชก” หลายความพยายามทั้งส.ว.แต่งตั้งที่โหวตนายกรัฐมนตรีได้ สูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ สรุปได้ว่า เป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจ ได้นายกรัฐมนตรีคนเดิม รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญทีมเดิม และอาจเข้าใจไปได้ว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าหากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็อาจจะได้คนหน้าเดิมซ้ำอีก ทำให้เห็นว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่สง่างาม ใช้เล่ห์เหลี่ยมและเล่ห์กลทางกฎหมาย และใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม

2.ความไม่ชอบธรรมของคณะรัฐมนตรี หลายคนมีคดีติดตัว ทั้งคดีข้อหาร้ายแรงมีโทษถึงประหารชีวิต บางท่านเคยมีคดียาเสพติด แต่รองนายกฝ่ายกฎหมายของท่านบอกว่าเป็นคดีที่เกิดในต่างประเทศ ไม่ใช่ศาลไทย พี่เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ให้น้องเป็น ภรรยาเป็นไม่ได้ให้สามีเป็น พ่อเป็นไม่ได้ให้ลูกเป็น รัฐมนตรีของท่านจึงพิลึกกึกกือยิ่งกว่านอมินีอีกนอกจากนั้นยังมีปัญหาด้านคุณสมบัติของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด ท่านจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ถ้ารัฐมนตรีของท่านเองก็มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด

3. ปัญหาคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี ท่านนายกรัฐมนตรียอมตนเข้ามาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีซึ่งรัฐธรรมนูญห้ามมิให้เสนอผู้ไม่มีคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ท่านเป็นหัวหน้า คสช. แม้ขณะที่โปรดเกล้าฯ ให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีท่านก็ยังเป็นหัวหน้า คสช.อยู่ กระผมยังไม่เห็นว่าจะใช้เหตุผลอะไรที่จะบอกว่าท่านมิได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ

“ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาท่านเป็นรัฐบาล คสช. กระผมเห็นว่าเป็น 5 ปี แห่งความล้มเหลวมีความเสียหายเกิดขึ้นต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก นอกจากความไม่ชอบธรรมทั้ง 3 ด้านแล้ว ผมอยากกล่าวถึงความล้มเหลวในการทำงานด้านนโยบาย ดังนี้ 1.ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ท่านล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เกิดความเหลื่อมล้ำรวยกระจุกจนกระจาย ประชาชนอยู่ลำบาก จนหนังสือพิมพ์ชื่อดังได้ตั้งฉายาประเทศเราว่าเป็น “The Sick Man of Asia” หรือ “ผู้ป่วยแห่งเอเชีย”

2.ความล้มเหลวในการปฏิรูปการเมือง ท่านกล่าวหานักการเมือง แต่ในที่สุดท่านก็มาจับมือกับนักการเมืองเอาคนที่ท่านกล่าวหามาเป็นพวก ใช้อำนาจพิเศษต่อรองทางการเมือง นักการเมืองสีเทาทั้งหลายไปรวมตัวอยู่กับท่านแทบทั้งหมด 3.ความล้มเหลวในด้านการใช้งบประมาณพัฒนากองทัพ การพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพจะเป็นการรับรองภัยคุกคามตามห้วงระยะเวลาต้องมียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย ป้องกันการสูญเสียอธิปไตย แต่ต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป

ทั้งนี้ นายสมพงษ์ กล่าวว่า กระผมไม่เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีศักยภาพเพียงพอในการนำเอานโยบายที่ท่านกำลังจะประกาศใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ท่านขาดความธรรม ทั้งความชอบธรรมในการเข้ามาสู่อำนาจ และความชอบธรรมในเรื่องคุณสมบัติ ท่านเมินเฉยต่อการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นและบิดเบือนกลไกกฎหมายเพื่อประโยชน์ของพวกพ้องท่าน ท่านโกหกประชาชน และนานาชาติเรื่องการปฏิรูปการเมืองและการนำพาประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศ ได้มาแต่เพียงประชาธิปไตยจอมปลอมหรือเผด็จการครึ่งใบนั่นเอง ท่านใช้เงินภาษีประชาชนไปกับกองทัพ ซึ่งอาจคิดได้ว่าท่านมีส่วนได้ส่วนเสียกับการใช้งบประมาณที่ไม่เหมาะสมนี้ ทั้งหมดนี้ทำให้กระผมมั่นใจว่าท่านและคณะฯ ได้ทำให้ประเทศเสียหายอย่างใหญ่หลวง และมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทำให้กระผมไม่เชื่อว่าท่านจะสามารถทำให้นโยบายเหล่านี้ประสบความสำเร็จได้

“วันนอร์” แฉกลางสภา “ประยุทธ์” เตรียมรัฐประหาร ชี้หน้าขู่ “คุณสู้ไม่ได้ ผมเตรียมการมา 3 ปี”

เวลา 12.40 น. นายวันมูฮะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นผู้อภิปรายคนที่ 2 โดยกล่าวว่า ขอถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในการเรียกกลุ่มนักการเมืองต่างๆ มาพบที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุในห้องประชุมก่อนทำรัฐประหาร โดยชี้มาที่นักการเมือง พร้อมพูดว่า “ใครอย่าคิดสู้ สู้ก็สู้ไม่ได้ ผมเตรียมการเรื่องนี้มา 3 ปีกว่า” ขอถามว่า เรื่องนี้หมายความว่าอะไร เพราะย้อนไปตั้งแต่ยังไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ท่านเตรียมการเรื่องนี้ตั้งแต่ยังไม่มีการเลือกตั้ง ให้นายกฯมาปฏิเสธ เพราะท่านระบุว่าเขามาเพื่อแก้ปัญหาแต่ที่บอกว่าเตรียมการมา 3 ปี หมายความว่าอะไร

จากนั้นนายวันนอร์ อภิปรายเรียกร้องให้ปลด นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ออกจากตำแหน่งเนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ให้กับเครือกฤษดานคร จนทำให้ประเทศชาติเสียหาย โดยขอให้สลับเก้าอี้กับ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน ซึ่งเป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ อย่างไรก็ตาม ระหว่างการอภิปราย ได้มีส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะ

“ปิยุบตร” ซัดนโยบายรัฐบาล “เลื่อนลอย-โลเล-หลอกลวง”

เวลา 13.15 น. นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ดำเนินอภิปรายเป็นคนที่ 3 กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้ มี 3 ลักษณะคือ 1. เลื่อนลอย ใส่ทุกเรื่อง เต็มไปด้วยคำสวยหรู ใหญ่ๆโตๆ อ่านลงไปในรายละเอียดแล้ว ไม่มีรูปธรรมมีแต่การส่งเสริมสิ่งโน้น สิ่งนี้ แต่ไม่มีรูปธรรม เช่นข้อ 5.1 เรื่องการดำเนินนโยบายการเงินการคลัง ที่ไม่ยอมบอกว่าวิธีการคลัง หรือนโยบายเร่งด่วนเรื่องที่ 9 การแก้ไขปัญหายาเสพติด และเรื่องการแก้ปัญหาความสงบสุขชายแดนภาคใต้ ที่เอามาติดกัน จนเหมือนยาเสพติดมีแค่ภาคใต้ หรือ เรื่องข้าว เรื่องต่างประเทศ ก็ไม่ได้บอกว่าจะทำอย่างไร มีเพียงการบอกทิศทาง แต่ไม่บอกว่าจะทำอย่างไร

ลักษณะที่สองคือเป็นนโยบายโลเล ไม่รู้ว่าต้องการอะไรกันแน่ หลายอย่างเขียนขัดแย้งกันไปกันมา เช่นการทวงคืนผืนป่า แต่ก็มีเรื่องการปฎิรูปที่ดิน หรือข้อ 8.6.3 เรื่องเหลื่อมล้ำการศึกษา แต่ก็พูดเรื่องการกู้ยืมเรื่องการศึกษา ที่เขียนผสมปนเป

ลักษณะเด่น ที่ 3 คือ นโยบายหลอกลวง ก่อนการเลือกตั้ง มีการรณรงค์หาเสียง แต่ละพรรคมีการนำเสนอนโยบายก้าวหน้าอย่างมาก ทั้งการกระจายอำนาจ เกณฑ์ทหาร กัญชาเสรี ยกตัวอย่าง นโยบายเร่งด่วนข้อ 5 พปชร.หาเสียงเรื่องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท เงินเดือน ป.ตรี 2 หมื่น อาชีวะ 1.8 หมื่น การลดภาษีเด็กจบใหม่ ก็ไม่ได้มีการบรรจุไว้ หรือการที่ประชาธิปัตย์หาเสียงปฎิรูปเกณฑ์ทหาร ก็ไม่มีบรรจุในรัฐธรรมนูญ เมื่อเทียบกับนโยบายรัฐบาลประยุทธ์ ช่วงปี 2557 พบว่าแม้เป็นรัฐบาลรัฐประหาร ก็พบว่าเขียนได้ดีกว่า นโยบายปัจจุบันนี้อีก

“รัฐมนตรีมีโอกาสน้อยมาก ที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและนโยบายที่ก้าวหน้า แทบจะเป็นไปไม่ได้ จึงขอคาดการณ์เอาไว้ว่า รบ.ชุดนี้จะผลักดันได้แค่นโยบายเฉพาะหน้า เป็นแค่ตัวอักษร ไม่มีผลเชิงปฎิบัติ นโยบายก้าวหน้า ไม่มีโอกาสได้ผลักดัน” นายปิยบุตร กล่าว

“ชลน่าน” จี้ถาม “อุตตม” คดีปล่อยกู้กรุงไทย ทำไมรอดคนเดียว?

เมื่อเวลา 13.10 น. ช่วงหนึ่ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.เพื่อไทย อภิปรายถึงคุณสมบัติรัฐมนตรี โดยระบุว่า ทุกเวทีสาธารณะ วิจารณ์ คุณสมบัติของนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง มีคุณสมบัติรัฐมนตรีหรือไม่ กรณีเป็นกรรมการบริหาร ปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย เพราะไปเกี่ยวเนื่องกับหน่วยงานที่ฟ้องร้องท่าน คือธนาคารแห่งประเทศไทย แม้คดีที่จบแล้วไม่ได้หมายความว่าไม่ผิด แต่การละเลยดังกล่าว ก็นับว่าไม่มีซื่อสัตย์จริยธรรม ผิดคุณลักษณะรัฐมนตรี พรรคพวกท่าน ติดคุกไป 3 คน แต่ท่านรอด ต้องอธิบายว่าทำไม การปล่อยกู้ดังกล่าว มีความชัดเจนมากเรื่องคุณสมบัติ เข้าข่ายให้การเท็จต่อศาลก็ยังได้ ต้องตอบให้ได้ ว่าทำไมท่านรอด คนอื่นติดคุก ออกจากคุกมาเสียชีวิต นี่คือคุณสมบัติที่ไม่มีใครยอมรับได้ จะมีผลต่อการดำเนินนโยบาย ล้มเหลว ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด เพราะไม่มีใครยอมรับ

“อุตตม” แจงคดีปล่อยกู้กรุงไทย ซัดคนบิดเบือนหวังขวางนั่งเก้าอี้คลัง

จากนั้น นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ได้ลุกขึ้นชี้แจงกรณีการปล่อยเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558 มีผู้ต้องโทษ 25 ราย แต่เป็นที่น่าเสียดาย น่าเศร้าใจที่มีกระบวนการของบุคคลที่พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงให้ผู้คนในสังคมเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด โดยมีความพยายามหลายครั้งที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาบิดเบือนให้เกิดความเสียหายในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความไม่ชัดเจนเคลือบแคลงว่าตนมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งรมว.กระทรวงการคลังหรือไม่

“อย่างไรก็ตามขอกราบเรียนว่าในฐานะนักการเมืองเป็นบุคคลสาธารณะยินดีที่จะให้มีการตรวจสอบ แต่ถ้าคนมันไม่ผิดมาแต่เดิม แล้ววันนี้จะมาหาเหตุบอกว่าผิดมันจะทำได้อย่างไร ผมขอชี้แจงตรงนี้เรื่องการกู้ทุจริตแบงค์กรุงไทยว่ามีการตรวจสอบ สอบสวน ไต่สวนมาแล้วในระดับหนึ่งซึ่งมีรายละเอียดพอสมควร แต่เนื่องจากเข้าใจว่าคงมีการอภิปรายในประเด็นนี้ต่อไปอีก จึงขออนุญาตประธานเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้เวลาของสภา จึงขออธิบายรายละเอียดเรื่องนี้ในตอนต่อไป” นายอุตตม กล่าว

“ประยุทธ์” ลุกขึ้นโต้ ถึงพูดเร็ว-ไม่ชัด แต่พูดแล้วทำด้วย 

เวลา 16.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงการอภิปรายของฝ่ายค้าน ว่า ตนอาจจะพูดเร็วไปนิดหนึ่ง พูดไม่ชัดบ้าง กลืนน้ำลายบ้าง ตนเป็นมนุษย์ ถ้าท่านพูดเก่งก็เรื่องท่าน แต่ตนพูดแล้วทำไปด้วย สำหรับการบริหารจัดการน้ำเราได้ดำเนินการมาโดยตลอด โดยมีการบริหารจัดการน้ำทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งน้ำเพื่ออุปโภค และน้ำเพื่อบริโภค รวมถึงน้ำเพื่อการเกษตรอุตสาหกรรมและรักษาระบบนิเวศ นี่คือสิ่งที่เราได้ปฏิบัติ เพราะพูดอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ แต่ปัญหาวันนี้คือ น้ำไม่เพียงพอ เพราะฝนไม่ตก ขณะที่การเกษตรก็ทำเกินกว่าปริมาณน้ำ แต่รัฐบาลจะแก้ไขด้วยการหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม ทั้งนี้ หากฝ่ายค้านติติงเพียงอย่างเดียว โดยไม่สร้างสรรค์ คงไม่ได้และที่ท่านบอกว่าต้องหาน้ำให้ได้ หาให้เพียงพอ แต่บางพื้นที่เจอปัญหาน้ำส่งไปไม่เพียงพอ ซึ่งหากส่งในปริมาณที่เกินเกณฑ์จะมีปัญหาต่อน้ำอุปโภคและบริโภค

“ผมเสียงดังไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้พูดนานแล้ว ผมเองก็มีตัวตนของผมเหมือนกัน เขาบอกให้ผมพูดอย่างสุภาพ แต่ตอนนี้ผมกำลังยิ้มอยู่ ท่านบอกว่าต้องการงบประมาณ ต้องถามว่างบประมาณมาจากไหน แต่ต้องตอบด้วยว่าจะเอางบประมาณมาจากไหน ถ้าไม่ใช่จากภาษีเงินกู้ ทั้งนี้ที่ตั้งงบประมาณขาดดุลไว้ก็เป็นการเผื่อ เพราะหากมีความจำเป็นก็จะต้องกู้ และที่ผ่านมางบประมาณประจำปีที่ผ่านมามีประมาณ 2 ล้านล้านบาท แล้วทำไมไม่เห็นจะเกิด ถนน รถไฟ รถไฟฟ้า และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาค ตะวันออก (อีอีซี)อย่างที่ผมทำในวันนี้ ตอบคำถามผมให้ได้ด้วย จะเกิดหนี้ แต่ก็สร้างรายได้ หลายประเทศบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ารักประเทศไทย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนบางกลุ่มถึงไม่รักประเทศไทย “ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า รายได้ของรัฐบาลตั้งไว้ที่ 2.7 ล้านล้านบาท โดยตั้งงบประมาณเผื่อไว้ ที่ 3.3 ล้านล้านบาท ซึ่งมีคนเสียภาษีที่แท้จริงเพียง 4 ล้าน และคนอะไรที่เป็นของคนจนเราจะไม่ได้ภาษี ได้เพียงอย่างเดียวจากภาษีแวต 7 เปอร์เซ็นต์ ทำให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ลุกขึ้นประท้วง ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้กล่าวถ้อยคำกับประธานรัฐสภา ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ได้ตอบว่า “ขอบคุณ และขอโทษ เพราะอาจจะเคยชินไปหน่อย แต่ก็ให้เกียรติประธานรัฐสภาอยู่แล้ว”

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้หันไปพูดกับนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะให้กับสมาชิกรัฐสภา พร้อมกล่าวว่า บางคนอาจไม่เคยชินกับตน แต่อยากถามว่างบประมาณ 2 ล้านล้านบาท ก่อนหน้านี้ได้ทำอะไรไปบ้าง กู้แล้วเกิดรายได้หรือไม่ วันนี้ไม่อยากก้าวล่วงใคร เพราะมีคดีค้างอยู่กว่าพันคดี เตรียมตัวไว้แล้วกัน เรื่องอะไรไม่รู้ ส่วนปัญหาเศรษฐกิจได้เตรียมการไว้หลายอย่าง รวมถึงเตรียมพูดคุยกับต่างประเทศ แม้ตนจากคุยกับเขาไม่รู้เรื่องก็ตามหลายคนวิจารณ์ว่านายกฯพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งแต่เวลาพูดคุยกันก็มีล่าม ในห้องประชุมมีรามถึง 15 คน แต่ดีกว่าคนที่พูดเก่งแล้วพูดไม่มีสาระ ไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ที่พูดมานี้ไม่ได้โมโหใครเลย เพียงแต่อยากให้เข้าใจว่าเราคิดนโยบายอย่างละเอียด วันนี้เอาวันนี้เอาเอกสารมาท่วมตัวจนหาไม่เจอแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการแก้ไขปัญหาใช้ชายแดนภาคใต้ ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่อันตราย ต้องยอมรับว่าปัญหานี้มีมายาวนาน ไม่เหมือนกับต่างประเทศ หลักการใช้กันไม่ได้จะใช้หลักสิทธิมนุษยชนมากเกินไปก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้เกิดปัญหา เพราะคำว่าสิทธิมนุษยชนกับการละเมิดกฏหมายอาญา การฆ่าคนตายมันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เมื่อไหร่ที่ต้องมีการจับกุมก็ต้องดูแลเจ้าหน้าที่ ถ้าทำผิดก็ต้องไล่ออกหรือจับเข้าคุก เราทำงานกันแบบนี้ ซึ่งวันนี้ก็มีการพัฒนามากขึ้น แต่ก็ต้องแก้ไขปัญหาไปเรื่อยๆให้ได้ วันนี้ปัญหาไม่ได้เกิดที่รัฐบาลและไม่ใช่อยู่ดีๆเจ้าหน้าที่จะไปยิงใครก่อน ทหารเขาไม่ยิงประชาชน เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกันจะยิงกันทำไม เราถูกสอนมาแบบนี้ เวลาที่เจ้าหน้าที่ถูกซุ่มยิง ใครร้องเรียนให้เจ้าหน้าที่บ้างเขาลาดตระเวนไปกับครูกับเด็กนักเรียน และพระแต่ถูกยิงแบบนี้แล้วเงียบ แต่พอถึงเวลาคนทำผิดก็มาบอกว่าถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่องนี้เราต้องดูให้ดี เรามีกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ขนาดนี้ก็มีการเจรจาพูดคุยสันติสุข แต่ไม่ได้หมายความว่าเรายกระดับขึ้นมาพูดคุย เราไม่ให้กฎหมายไทยไปเจรจากับใคร มันไม่ได้เลย เรียกแค่ว่าเป็นการพูดคุยสันติสุขที่ต่างประเทศนำมาสู่การไม่มีผู้ก่อเหตุใดๆหรือมีการยึดพื้นที่ใด แม้แต่ตารางนิ้วเดียว เจ้าหน้าที่รัฐสามารถลงได้ทุกพื้นที่

“ต่างประเทศ เขาเข้าใจกับการแก้ไขปัญหา มีแต่ในประเทศไทยนี่แหละที่ไม่พอใจ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจจะให้ดูแลผู้ร้ายกันตลอดไป แล้วเจ้าหน้าที่ผิด ผมก็ยอมรับ แต่ขอให้หาหลักฐานมา อย่าพูดลอยๆ และที่จับมาแล้ว มากล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่รัฐซ้อม มันไม่จริง ดูหนังมากไปกันหรือเปล่า” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงนโยบายทางด้านความมั่นคง ว่า ตนให้เกียรติกับทุกคน แต่บางครั้งอาจดูเสียงดังบ้าง เพราะมันกดดันพวกท่านบอกให้ตนรักษากิริยา แต่บางครั้งตนมองไปพวกท่านก็ไม่มีกิริยาให้ตน ทั้งนี้การซื้อยุทโธปกรณ์ ซื้อในสิ่งที่เราใช้ได้และมีประสิทธิภาพ ทำไมตนจะไม่อยากได้ของถูกหรือของดีที่สุด แต่เราก็มีงบประมาณจำกัด ในส่วนเรื่องของการทุจริตหลักฐานมาก็ไปหาหลักฐานมา ไปฟ้องมาคดี เพื่อดำเนินคดี เขามีกรรมการตั้งหลายคณะอย่างที่ซื้อมาไม่ได้ซื้อที่ร้านโชห่วยข้างถนน เรือดำน้ำ 6 ปี จะได้หนึ่งลำใหม่ ที่ซื้อไม่ใช่ซื้อวันนี้แล้วได้พรุ่งนี้ เราต้องส่งทหารไปอยู่กับเขาถึง 3 ปีไปส่งไปอยู่กับเขาถึง 3 ปีตั้งแต่เริ่มต้นผลิตให้ปัญหาระบบเรือ หลักการซื้อต้องบวกการซ่อมบำรุง นั้นคือแพ็คเก็จ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์พูดถึงตรงนี้ก็ได้ชี้นิ้วไปยังผู้ประท้วง ซึ่งเป็นอดีตนายทหารและพูดว่าพวกท่านก็รู้ดี เพราะเป็นลูกน้องตนมาก่อน เป็นทหารเหมือนกัน ขอให้เข้าใจ ซึ่งนายชวนได้กล่าวเตือนว่าอย่าชี้นิ้ว พล.อ.ประยุทธ์จึงได้กล่าวขอโทษ พร้อมกับหัวเราะและบอกว่ารูปแบบในสภาฯอาจเปลี่ยนไปบ้างต้องขออภัย

ทั้งนี้ ตลอดทั้งวัน พล.อ.ประยุทธ์ได้นั่งฟังในห้องประชุมและจดรายละเอียดตลอด ยกเว้นช่วงออกไปรับประทานอาหารกลางวัน อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวที่ติดตามการประชุมรัฐสภายังระบุว่า มีบางช่วง ในการฟังการอภิปรายจากฝ่ายค้าน พล.อ.ประยุทธ์ เก็บอารมณ์ไม่อยู่ แสดงออกมาทางสีหน้าเชิงไม่พอใจ