“ณัฏฐา” ชี้ 52 ที่นั่ง “ปชป.” สะท้อน “หมดเวลาเกรงใจ คสช.” ชวนปิดสวิตช์ ส.ว.ให้หมดค่า

พรรคประชาธิปัตย์ประกาศชัดก่อนการเลือกตั้งว่าไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกต่อ ไม่เอาการสืบทอดอำนาจ “หมดเวลาเกรงใจ” 52 ที่นั่งของปชป.จึงชัดเจนว่ามาจากการเลือกด้วยความเข้าใจนี้

เมื่อรวมกับเสียงฝ่ายประชาธิปไตย 245 และ 7 ที่นั่งที่หายไปจากการคำนวณที่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็จะเห็นว่าประชาชนผู้ลงคะแนนที่ไม่เอาการสืบทอดอำนาจมีเสียงที่แปรเป็น 304 ที่นั่งเป็นอย่างน้อย (โดยยังไม่รวมเสียงของภูมิใจไทย) หรือกว่า 3 ใน 5 ของสภาผู้แทนราษฎร

หากพรรคการเมืองและนักการเมืองรักษาคำพูด เคารพเจตนารมณ์ของประชาชน พร้อมปกป้องระบอบประชาธิปไตยและเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา คงไม่ยากจะตัดสินใจในการเลือกหรือไม่เลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี

ส่วนสว. 250 คนจาก คสช. คือส่วนเกินและเนื้อร้ายของระบอบ ที่เกิดขึ้นจากคำถามพ่วง “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี”

คำถามพ่วงที่ชาวบ้านยากจะเข้าใจว่าหมายถึงการยอมให้เกิดกลไกสนับสนุนการสืบทอดอำนาจด้วยวิธีสกปรกนี้ เกิดขึ้นในการประชามติที่ขาดความเสรีเป็นธรรม ตั้งข้อหาผู้รณรงค์คัดค้าน อุ้มเข้าค่าย จับขังคุก ปิดกั้นสื่อ ออกพรบ.ประชามติปิดปากทั้งประชาชนและนักการเมือง

จึงเป็นหน้าที่ของผู้แทนและประชาชนที่จะต้องลงแรง ทำทุกอย่างให้เสียงสว.ของคสช.เหล่านั้นไร้ความหมาย

หากไม่อยากกลายเป็นนักการเมืองที่ไร้ศักดิ์ศรีอย่างต่อเนื่องเรื้อรัง เพราะต้องคอยหวาดกลัวเสียงของสว.เหล่านี้ ในการโหวตเลือกนายกอีกสมัยหรือมากกว่านั้น เพราะตามกติกาที่เผด็จการสร้างขึ้น สว.เหล่านี้จะมีอภิสิทธิ์เหนือหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงของประชาชน ยาวนานถึง 5 ปี

“หมดเวลาเกรงใจเผด็จการ ได้เวลาเคารพประชาชน”