“จาตุรนต์” กางสูตร เลือกนายกฯฝ่ายประชาธิปไตย จบเพียงหนึ่งเดียว ท้าชนเผด็จการ

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 ที่สำนักงาน กกต. พรรคไทยรักษาชาติ ที่นำโดย ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค นำผู้สมัครของพรรค เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ มายื่นสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวน 108 คน และยังไม่เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวถึงการที่พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครส.ส.ในระบบเขต 250 คน และไทยรักษาชาติส่ง 150 เขตเลือกตั้ง ซึ่งก็จะมีการทับซ้อนของพื้นที่ประมาณ 50 เขตเลือกตั้งว่า

ในกรณีที่ทับซ้อนคิดว่าประชาชนจะพิจารณาเองว่าควรจะเลือกอย่างไร จึงจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายประชาธิปไตย โดยประชาชนคงจะดูว่าใครมีความเป็นไปได้แค่ไหน และจะมีผลต่อภาพรวมของฝ่ายประชาธิปไตย คิดว่าเมื่ออยู่ในแต่ละเขตเลือกตั้งประชาชนจะทำความเข้าใจในเวลาอันสั้นๆทั้งกรณีที่มีผู้สมัครซ้ำกันและส่งไม่ซ้ำกัน

“อยากย้ำว่าการส่งไม่ซ้ำกันระหว่าง เพื่อไทย และ ไทยรักษาชาติ ที่ไปใช้คำว่าฮั้ว มันเป็นไปไม่ได้ ที่ว่าหากพรรคไทยรักษาชาติไม่ส่งแล้วจะมีผลทำให้ประชาชนไปลงคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว เพราะในแต่ละเขตก็ยังมีผู้สมัครของพรรคอื่นอีก 30-40 พรรค

ประชาชนจะใช้ดุลพินิจว่าจะเลือกใครในทางกลับกัน ถ้าพื้นที่ไหนพรรคเพื่อไทยไม่ส่งแล้วมีพรรคไทยรักษาชาติลงก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคเพื่อไทยจะไปทำให้พรรคไทยรักษาชาติได้รับการเลือกตั้งไปเลยเพราะก็ยังคงมีผู้สมัครของพรรคการเมืองอื่นอีกหลายสิบพรรคในเขตเลือกตั้งนั้น ดังนั้น คำว่าฮั้วที่ใช้กับการประมูล จึงเป็นคนเรื่องกับกรณีนี้ และในทางการเมืองในประเทศต่างๆเขามีการตกลงกันล่วงหน้าด้วยซ้ำว่า เขาจะส่งใครว่าจะให้พรรคไหนเป็นแกนนำและใครจะเป็นนายกฯ” นายจาตุรนต์ กล่าว

นายจาตุรนต์ ยังกล่าวอีกว่าอยากให้ลองนึกภาพเมื่อเข้าไปในสภาไม่ใช่แต่ละพรรคก็เสนอแคนดิเดตของพรรคตัวเอง และสมาชิกของแต่ละพรรคก็ยกมือให้กับแคนดิเดตนายกฯของพรรคตัวเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นในสภาไทยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็จะชนะทันที เพราะมี250เสียงในกระเป๋า สุดท้ายต้องตกลงกันว่าจะให้แกนนำพรรคไหนเป็นนายกฯ ฉะนั้นสุดท้ายพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ก็ต้องยกมือให้แคนดิเดตนายกฯเพียงคนเดียว จึงจะสามารถสู้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้

ส่วนจะเป็นใครยังไม่ได้มีการตกลงกันล่วงหน้า จะเป็นแคนดิเดตพรรคใหญ่พรรคเล็กก็ยังไม่ได้มีการตกลงกัน พรรคฝ่ายประชาธิปไตยต้องหารือกัน และถ้าพรรคส่วนใหญ่ซึ่งต้องรวมกันให้ได้ 376 เสียง ต้องการได้แคนดิเดตนายกฯจากพรรคไหนก็จะเป็นพรรคนั้น ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นพรรคเล็ก พรรคใหญ่ แต่โดยหลักการแล้วพรรคที่ได้ฉันทานุมัติมาจากประชาชนควรจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและควรเป็นคนเริ่มต้น สมมติว่าพรรคพลังประชารัฐเค้าได้เสียงมาเป็นอันดับ 1เขาก็จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ไทยรักษาชาติก็จะเป็นฝ่ายค้าน ไม่ได้หมายความว่าเขาได้รับสนับสนุนมากแล้วเราจะไปเข้าร่วม ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยได้เสียงข้างมากเกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎรก็จะมีการหารือกัน และพรรคที่มีเสียงอันดับ1 จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรับบาล แต่เนื่องจะต้องมีสียงสนับสนุน 376 เสียงจึงจะจัดตั้งรัฐบาลได้ ดังนั้นเราจึงต้องรับฟังเสียงจากพรรคต่างๆ ที่ตนพูดเช่นนี้เพราะหัวหน้าพรรคก็บอกแล้วว่าคาดการณ์ว่าจะได้ส.ส. 50-60 คน

ก็แสดงว่าพรรคไทยรักษาชาติ ไม่ใช่พรรคได้รับการเลือกตั้งอันดับ 1 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะตัดพรรคไทยรักษาชาติ ออกจากความเป็นไปได้ ในการเป็นนายกฯ

เพราะในอดีต ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับคะแนนเสียง 18เสียงก็ยังเป็นนายกฯ และนายมหาเธร์ ก็ได้ไม่ถึง 15 เสียงก็ได้เป็นนายกฯ ฉะนั้นไม่แน่นอน แต่หลักการคือฝ่ายประชาธิปไตยสนับสนุนกันแน่ในการตั้งรัฐบาล ซึ่งก็อยากจะเรียกร้องประชาชนให้เลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อที่จะได้หยุดการสืบทอดอำนาจ คสช.