เมื่อวันที่ 18 มกราคม นายวราวุธ ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา เปิดเผยที่ จ.สุพรรณบุรี ถึงกรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายจองชัย เที่ยงธรรม กับนายประภัตร โพธสุธน ว่าการต่อสู้ทางการเมืองท้ายที่สุดจะมีคนแพ้และคนชนะ แต่ในมุมมองของตนจะมีแต่แพ้ทั้งคู่ คนชนะก็เหมือนแพ้ คนแพ้ก็ยิ่งแพ้กันไปใหญ่ แต่คนที่เสียประโยชน์ที่สุดก็คือคนสุพรรณบุรี ที่เสาหลักหายไป 1 เสา จะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็แล้วแต่ ฉะนั้นตนไมนิยมชมชอบการที่จะต้องมาสู้รบปรบมือกัน แนวทางของนายบรรหาร ทำมาตลอด 40 ปี เป็นมาอย่างไรเราก็ทำอย่างนั้น จะพยายามหาข้อลงตัวทุกฝ่ายให้ได้ แต่ถ้าทำถึงที่สุดแล้ว ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ถือว่าศักยภาพของตนมีเท่าที่เห็น เพราะตนทำงานมาได้ไม่กี่ปี จะบังอาจไปทุบโต๊ะห้ามอย่างนี้ต้องทำอย่างนั้น มันไม่ใช่

“นาทีนี้ไม่อยากสูญเสียทั้งนายประภัตร และนายจองชัย แต่อย่างไรก็ตามอะไรที่ยังไม่เกิด จะต้องทำอย่างไรให้อยู่ด้วยกันได้เหมือนอย่างที่เราเป็นมาเหมือนเมื่อก่อน นี้คือหน้าที่ในฐานะที่จะต้องมาดูแลพรรคชาติไทยพัฒนา มารับไม้ต่อจากพ่อบรรหาร จะต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด แต่ในเมื่อทำดีแล้วแต่ยังไม่เพียงพอ ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น”นายวราวุธกล่าว

กรณีนายจองชัย บอกว่าถ้าผู้บริหารพรรคชาติไทยพัฒนา ยังเป็นชุดเดิม จะไม่หันหลังกลับ นายวราวุธ กล่าวว่าเป็นความเห็นของนายจองชัย อะไรที่เราทำได้เราก็จะทำ อะไรที่ทำไม่ได้เราก็ทำไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วในเมื่อเราทำดีที่สุดอะไรที่จะเกิดก็ต้องเกิด แต่สำหรับตนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือจังหวัดสุพรรณบุรี อย่างไรก็ตามปัญหาระหว่างนายประภัตรกับนายจองชัยเมื่อนกหวีดยังไม่เป่าจบเวลา 90 นาที จะมานั่งยอมแพ้กันตอนนี้ไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลาเป่านกหวีดไปแล้วไม่เป็นตามอย่างที่คิดก็เอาเท่าที่ทำได้ วันพระไม่ได้มีหนเดียว และคนที่จะเสียก็คือคนสุพรรณบุรีไม่ใช่แค่ตนคนเดียว ต้องบอกว่าชั่วโมงบินตนยังเหลืออีกเยอะมาก จะมาวัดกันแค่ตอนนี้ ถามว่าสุพรรณบุรีจะมาโดนเจาะตอนนี้แล้วจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะมันโดนเจาะตั้งแต่สมัยพ่อบรรหารยังอยู่ จะมาโดนเจาะตอนสมัยลูกก็ไม่แปลกอะไร

มติชนออนไลน์