‘ไทม์’ ขึ้นปก “สื่อมวลชนผู้ปกป้องความจริง” ทั้งจากไป-มีชีวิตอยู่ เป็นบุคคลแห่งปี 2018

วันที่ 12 ธันวาคม 2561 นับเป็นอีกนิตยสารทรงอิทธิพลของสหรัฐฯอย่างนิตยสาร “ไทม์” ที่มีธรรมเนียมปฏิบัติทุกปี ของการสรุปเหตุการณ์แห่งปี 2018 รวมถึงคัดเลือกบุคคลแห่งปี 2018 ขึ้นปกนิตยสารฉบับส่งท้ายปีและรายงานพิเศษเกี่ยวกับเรื่องราวของบุคคลในปกแห่งปีอีกด้วย โดยปี 2018 บรรดาเหตุการณ์สำคัญทั่วโลกจะไม่สามารถถูกถ่ายทอดออกมาสู่สายตาผู้ชมและผู้อ่านในสื่อทุกรูปแบบทั้งแบบอนาล็อกและดิจิตัลได้ หากปราศจากสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ถูกคุกคามทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้นจากอำนาจและอิทธิพลอันดำมืดจนส่งผลต่อร่างกาย จิตใจ ความปลอดภัยและถึงแก่ความตาย และในปีนี้มีสื่อมวลชนที่ถูกกระทำอย่างทารุณจากอำนาจมืดไม่ว่าจากรัฐบาล จากองค์กรอาชญากรรม บริษัทเอกชนหรืออำนาจความเชื่อด้วยสาเหตุเพียงเพราะ การรายงานข่าวโดยเฉพาะเรื่องราวที่ไม่ควรถูกเปิดเผยให้เห็นด้านมืดอันโหดร้ายที่ถูกชี้ชัดว่าเป็นความฉ้อฉล เป็นความอยุติธรรม ความผิดมนุษยธรรมและเป็นอาชญากรรมที่น่าละอาย

ไทม์ได้ระบุถึงสาเหตุที่เลือกสื่อมวลชนในฐานะบุคคลแห่งปีว่า ในปี 2018 อำนาจเผด็จการได้สำแดงเดช เข้าควบคุมการไหลของข้อมูลข่าวสาร ประชาธิปไตยทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตใหญ่สุดในรอบทศวรรษ การเกิดขึ้นของข้อความที่เป็นพิษจากข้างล่าง เทคโนโลยีใหม่ได้ขยายอำนาจโบราณโดยผู้แข็งแกร่งที่ปล่อยพิษภัยและสถาบันกำลังอ่อนแอ หลายที่ทั่วโลกบงการและละเมิดความจริงกลายเป็นการคุกคามประจำจนเป็นข่าวพาดหัวและขยายตัวจนคุกคามต่อเสรีภาพ

และด้วยรูปแบบ อิทธิพลและตัวบ่งชี้อันสูงสุดที่บุคคลแห่งปีของไทม์มุ่งเน้นมาตลอด 9 ทศวรรษ ล้วนมาจากความกล้าหาญ เช่นเดียวกับพรสวรรค์ของมนุษย์ทั้งมวล ความกล้าหาญล้วนมาต่างกรรมต่างวาระ ปีนี้เราขอจดจำสี่นักข่าวและหนึ่งองค์กรข่าว ที่แลกด้วยราคาอันสูงลิ่วเพื่อท้าทายกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาเหล่านี้เป็นตัวแทนการต่อสู้ของอีกนับไม่ถ้วนทั้งโลก โดยจนถึงวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา มีนักข่าวถูกสังหารแล้ว 52 ราย ใครเล่าที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อบอกเรื่องราวในยุคสมัยของเรา

“ไทม์” ได้เปิดภาพบุคคลแห่งปี 2018 ในชื่อ The Guardian and the war on truth ที่เจาะลึกถึงสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ รายงานข้อเท็จจริงที่รัฐบาลหรืออิทธิพลพยายามปกปิด ปิดกั้นหรือตอบโต้ด้วยการคุกคามในรูปแบบต่างๆ โดยไทม์ได้จัดทำปกใน 4 รูปแบบ

โดยปกแรกเป็นรูปของนายจามาล คาช็อกกี คอลัมนิสต์ชาวซาอุดิอาระเบียที่เขียนบทความให้กับวอชิงตันโพสต์ และถูกอุ้มหายปริศนาจนต่อมามีข้อสรุปจากการสืบสวนว่าเสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรมโดยเจ้าหน้าที่ของทางการซาอุดิอาระเบียที่จัดการปลิดชีพนายคาช็อกกีอย่างโหดร้าย ภายในสถานกงสุลในนครอิสตันบูลของตุรกี ซึ่งเป็นผลมาจากการเขียนคอลัมน์เชิงวิพากษ์วิจารณ์แวดวงชนชั้นสูงของซาอุดิอาระเบีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทและท่าทีของมกุฎราชกุมารโมฮัมหมัด บิล ซามาน รัชทายาทผู้ทรงอิทธิพลแห่งซาอุดิอาระเบีย และทำให้กลายเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ว่าคำสั่งยื่นความตายให้นายคาช็อกกีครั้งนี้ เจ้าชายโมฮัมหมัดมีส่วนในฐานะผู้บงการ แต่ทางการซาอุดิอาระเบียออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องดังกล่าวและได้ทำการลงโทษผู้ก่อเหตุฆาตกรรมโหดนี้แล้ว

 

ปกที่ 2 สอง เป็นภาพของทีมงานที่รอดชีวิตของหนังสือพิมพ์แคปิตัล การ์เซ็ต หนังสือท้องถิ่นในเมืองแอนนาโปลิส มลรัฐแมรี่แลนด์ โดยพวกเขาตกเป็นข่าวเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อมีมือปืนบุกเข้าสำนักงานและกราดยิงหมู่ใส่ทีมบรรณาธิการหนังสือพิมพ์จนทำให้เพื่อนร่วม 5 คนอาทิ เจอรัล ฟิชแมน บก.หน้าบทบรรณาธิการ, ร็อบ เฮียอาเซ็น ผู้ช่วยบรรณาธิการ, จอห์น แม็คนามารา ผู้สื่อข่าวกีฬา, รีเบ็คก้า สมิทซ์ ผู้ช่วยฝ่ายขายของกองสื่อสารและเวนดี้ วินเธอร์ ผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจ เสียชีวิต โดยสาเหตุมาจากนายจาร็อด รามอส มือปืนที่ก่อเหตุ ถูกหนังสือพิมพ์ฉบับนี้รายงานว่าเป็นผู้ต้องหาในคดีล่วงละเมิดเพื่อนร่วมชั้นเรียนไฮสคูลเมื่อปี 2011 ซึ่งนายรามอสไม่พอใจต่อรายงานชิ้นนี้และยื่นฟ้องหนังสือพิมพ์ฐานหมิ่นประมาท แต่ศาลยกฟ้องเพราะไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่ารายงานดังกล่าวไม่เป็นความจริง นายรามอสก็ไม่หยุดยังยื่นอุทธรณ์ต่อแต่ในชั้นสุดท้ายศาลยกฟ้อง นายรามอสไม่พอใจถึงกับคับแค้นและข่มขู่ว่าจะโจมตีสำนักงานหนังสือพิมพ์แห่งนี้จนเกิดเหตุอันน่าเศร้าขึ้น

 

ปกที่ 3 เป็นภาพของชิด โซ มิน และพัน อิ มน ภรรยาของวา โลนและจอ โซ อู สองนักข่าวรอยเตอร์สชาวพม่าที่ถูกศาลตัดสินจำคุกฐานครอบครองข้อมูลลับทางการที่เป็นข้อมูลและภาพเกี่ยวกับการสังหารหมู่ชาวโรฮิงญา 10 คน ในหมู่บ้านอินดิน ในเขตเมืองมงดอว์ของรัฐยะไข่ โดยเกิดขึ้นในช่วงที่ทหารพม่าเปิดฉากโจมตีตอบโต้กลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาและนำไปสู่การกวาดล้างที่มีการเปิดเผยจากชาวโรฮิงญาที่ลี้ภัยจากบ้านเกิดข้ามมายังบังคลาเทศว่า ทหารพม่าได้ทำการสังหารหมู่ ข่มขืนกระทำชำเรา เผาบ้านเรือนไร่นา และยังมีแนวร่วมพลเรือนติดอาวุธชาวพุทธยะไข่ร่วมมือกับทหารพม่าก่ออาชญากรรมครั้งนี้ และเรื่องราวของสองนักข่าวรอยเตอร์สรวมถึงข่าวการอพยพของโรฮิงญาหลายแสน ได้สั่นคลอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลพม่าและเกียรติภูมิของนางอองซาน ซูจี มุขมนตรีของพม่าที่เคยถูกยกย่องว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

 

ปกที่ 4 เป็นภาพของมาเรีย เรสซา ซีอีโอของแรปเปลอร์ สำนักข่าวออนไลน์ของฟิลิปปินส์ที่รายงานข่าวเชิงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของนายโรดริโก ดูเตอร์เต้ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์โดยเฉพาะนโยบายสงครามยาเสพติดที่ทำให้มีประชาชนที่ถูกสงสัยว่าเกี่ยวกับกับคดียาเสพติดถูกวิสามัญไปแล้วหลายพันคนโดยที่เจ้าหน้าที่ได้รับอำนาจเห็นชอบจากดูเตอร์เต้ จนทำให้องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายดังกล่าวที่ไม่ดำเนินการตามหลักกระบวนการยุติธรรม แต่กลับใช้อำนาจโดยมิชอบชี้เป็นชี้ตายโดยไม่สามารถได้ว่าผู้ต้องสงสัยที่ถูกสังเวยมีความผิดหรือไม่ และสำนักข่าวแรปเปลอร์รายงานข่าวนี้อย่างต่อเนื่องจนถูกรัฐบาลเล่นงานถึงขั้นสั่งปิดสำนักงานด้วยกฎหมายภาษี

ไม่เพียงเท่านี้ ไทม์ ยังได้นำเรื่องราวของนักข่าวที่เผชิญการคุกคามไม่ว่าจะเป็น บล็อกเกอร์ชาวเวียตนามที่รู้จักในชื่อ คุณแม่เห็ด ที่ถูกทางการเวียตนามจับขังคุกก่อนถูกปล่อยตัวและลี้ภัยไปสหรัฐฯ นักข่าวในจีน บราซิล เป็นต้น

ทั้งนี้ นิตยสารไทม์ฉบับหน้าปกบุคคลแห่งปีจะวางจำหน่ายในวันที่ 24 ธันวาคมนี้

ที่มา http://time.com/person-of-the-year-2018-the-guardians-choice/