‘เพื่อชาติ’ชี้ คนไทยควรรู้บทเรียน คสช.สืบทอดอำนาจ ผ่าน รธน.2560

พรรคเพื่อชาติ ชี้ “วันรัฐธรรมนูญปีนี้คนไทยต้องได้บทเรียน และเห็นพิษภัยของการสืบทอดอำนาจ คสช.” หวั่นรัฐธรรมนูญปี 60 จะทำให้ได้นายกฯคนนอก ผิดเจตนารมณ์ของประชาชน ทำให้คุณภาพของประชาธิปไตยเจือจาง ย้ำ! นายกฯ ต้องลาออก” สร้างมาตรฐานและสปิริตทางการเมืองให้คนรุ่นใหม่

 

วันที่ 10 ธันวาคม 2561 – ดร.รยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า ในโอกาสวันรัฐธรรมนูญ คนไทยต้องตระหนักและให้ความสำคัญในกฎหมายสูงสุดของประเทศ เพราะจะเป็นตัวกำหนดทิศทางและประสิทธิภาพของระบอบประชาธิปไตย โดยหัวใจสำคัญจะต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่ยึดโยงกับประชาชนไม่ควรเอื้อประโยชน์ หรือมีวาระแอบแฝง หรือเป็นไปเพื่อการแสวงหาอำนาจ หรือสืบทอดอำนาจของผู้หนึ่งผู้ใด ดังเช่นรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่กลายเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจให้กับ พลเอกประยุทธ์ จันโอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช.

รัฐธรรมนูญที่ผิดเจตนารมณ์ของประชาชน

ดร.รยุศด์ กล่าวต่อว่า เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียดของรัฐธรรมนูญพบว่า เราอาจจะได้นายกรัฐมนตรีที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนโดยในรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้พรรคการเมืองเสนอชื่อว่าที่นายกรัฐมนตรี 3 รายชื่อให้ประชาชนได้เห็นก่อน ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีมีความชอบธรรม และมีความสง่างาม หากว่าที่นายกรัฐมนตรีคนนั้น ไม่ได้มาจากเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งอาจมาจากเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่รวมกันแล้วไม่เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร รวมกับ สว.250 คน ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. หากภายหลังการเลือกตั้ง ได้นายกรัฐมนตรีมาจากวิธีดังที่กล่าวจริง จะทำให้ประชาธิปไตยเกิดความเจือจาง ผิดเจตนารมณ์ของประชาชน เพราะสายสัมพันธ์ของผู้นำประเทศไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนโดยตรง

ดร.รยุศด์ ยังกล่าวอีกว่า การที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้พรรคการเมืองเสนอ 3 รายชื่อ “ว่าที่” นายกรัฐมนตรีก่อนก็จริง แต่ก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง ไม่ว่าจะด้วยวิธี ส.ส. เขต หรือ ส.ส. บัญชีรายชื่อก็ตาม ซึ่งการเสนอชื่อดังกล่าวอาจทำให้ดูเสมือนว่า “รายชื่อนายกรัฐมนตรีนั้นได้ผ่านการรับรู้จากประชาชนมาแล้ว” รวมไปถึงการใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชน ที่เคย ”เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ” แต่มาครั้งนี้การใช้สิทธิเลือกตั้งบนบัตรใบเดียว คือการให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี ซึ่งแท้จริงอาจเป็นการเลือก ส.ส.เขต ที่อาจทำงานในพื้นที่ถูกใจประชาชน แต่ประชาชาชนอาจจจะไม่ชอบพรรคการเมือง หรือรายชื่อนายกรัฐมนตรีที่พรรคนำเสนอก็ได้

ขณะเดียวกัน หาก สว. ทั้ง 250 คน ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ลงคะแนนเลือกผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด ซึ่งเท่ากับว่าผู้จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องการอีกเพียง 126 เสียงจาก ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่ง จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 อาจจะทำให้เราได้นายกรัฐมนตรีที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งแม้จะถูกกฎหมาย แต่ก็ผิดหลักการประชาธิปไตย โดยไม่เป็นไปตามเจตจำนงค์ของคนส่วนใหญ่

 

‘ประยุทธ์’ ต้องลาออก! สร้างบรรทัดฐาน-จริยธรรมทางการเมืองที่ถูกต้อง

ดร.รยุศด์ ยังกล่าวด้วยว่า หากพลเอกประยุทธ์ ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยวิธีการดังกล่าว ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการสืบทอดอำนาจ ของ คสช. ตั้งแต่การเขียนรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ คำสั่ง คสช.ต่าง ๆ รวมไปถึงกระบวนการการเลือกตั้งที่เอื้อกับพรรคการเมืองที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีแทบทั้งสิ้น ดังนั้นอาจเรียกได้ว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 ทำให้ทางฝากฝั่งพลเอกประยุทธ์ ได้เปรียบทุกทาง ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงอำนาจของมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญที่จะใช้สั่งการใดๆ ก็ได้ ไปจนกว่ารัฐบาลใหม่จะได้โปรดเกล้าฯ ตนจึงอยากเรียกร้องให้ พลเอกประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งทุกอย่างทันทีแล้วลงสู่สนามเลือกตั้งร่วมกับพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐาน และจริยธรรมทางการเมืองให้กับคนรุ่นใหม่

นอกจากนี้ ดร.รยุศด์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ตนเรียกร้องนั้น จะเป็นผลดีกับ ตัวพลเอกประยุทธ์ หากเชื่อในผลงานที่ผ่านมาในช่วงสี่ปีกว่าของตัวเอง และเชื่อว่าพวกท่านจะได้กลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง การลาออกจากตำแหน่งตอนนี้จะเป็นสิ่งที่สร้างผลดีให้พวกท่าน ได้เข้าสู่อำนาจอย่างสง่างามขึ้น ได้รับการยอมรับมากขึ้น แม้ที่ผ่านมาพวกท่านจะวางแผนอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน และเป็นกระบวนการอย่างยาวนานสำหรับการสืบทอดอำนาจในครั้งนี้ จะเห็นได้จากความได้เปรียบทั้งหมดทั้งมวลที่ตกอยู่กับพวกท่านหมด ดังนั้นตนจึงอยากใช้โอกาสวันรัฐธรรมนูญในวันนี้ได้ย้ำเตือน และเตือนสติคนไทยได้รับรู้ถึงพิษภัย และความเสียหายต่อประเทศชาติและระบอบประชาธิปไตย ในการสืบทอดอำนาจของ คสช. ผ่านรัฐธรรมนูญปี 2560 นี้