เมื่อวานนี้ (23 ตุลาคม 2561) สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า เฟซบุ๊ก โซเชียลแพลตฟอร์มระดับโลกที่ตอนนี้ถูกจับตามองอย่างมาก จากกรณีที่โซเชียลมีเดียนี้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง หลังมีการเปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯกล่าวหาว่ารัสเซียใช้เฟซบุ๊กผ่านหน่วยงานข่าวกรองและหน่วยข่าวกองทัพสร้างแอคเคาท์ปลอมระดมปั่นข่าว ซื้อโฆษณาออนไลน์เพื่อบงการความคิด ชี้นำจนส่งผลต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อปี 2016 นั้น ล่าสุดได้ออกมาเปิดเผยรายงานความโปร่งใส่เกี่ยวกับกิจกรรมหาเสียงทางการเมืองว่า บรรดาบริษัทและแบรนด์สินค้าชื่อดังที่เกาะกระแสการเลือกตั้งกลางเทอม ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนพฤจิกายน 2561 ต่างใช้จ่ายกับการซื้อโฆษณาออนไลน์ ชวนประชาชนอเมริกันร่วมใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง

โดยเฟซบุ๊กรายงานตัวเลขเงินที่ถูกใช้เพื่อซื้อโฆษณาออนไลน์ มีมากถึง 256.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยค่าใช้จ่ายในการซื้อโฆษณาออนไลน์ส่วนใหญ่ มุ่งไปที่กระตุ้นส่งเสริมให้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือนำเสนอประเด็นระดับชาติที่สำคัญ แม้ว่าบริษัทด้านโซเชียลแพลตฟอร์มอย่างกูเกิลและทวิตเตอร์จะนำเสนอข้อมูลลักษณะนี้เช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับเฟซบุ๊กแล้ว กูเกิลกระจายโฆษณาได้น้อยกว่าและทวิตเตอร์เองผู้ซื้อโฆษณามองว่าใช้งานยุ่งยาก

ด้านบริษัทที่ทุ่มเงินกับโฆษณาออนไลน์มากที่สุดคือ เอ็กซอนโมบิล โดยใช้ไปถึง 2.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าบริษัทใด แต่รอยเตอร์สยังรายงานว่า เอ็กซอนโมบิล ได้ส่งเสริมทำแคมเปญสนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งและเรียกร้องให้โหวตโนกับเขตเลือกตั้งในมลรัฐโคโลราโดซึ่งมีประเด็นในการเรื่องจำกัดการขุดเจาะ

ขณะที่บริษัทอย่างเบน แอนด์ เจอร์รีส์ ผู้ผลิตไอศกรีมรายใหญ่ของสหรัฐฯและบริษัทลูกของเครือยูนิลีเวอร์ ใช้เงินไปประมาณ 401,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยนายเจย์ แทนแดน ผู้จัดการฝ่ายการตลาดดิจิตัลที่กล่าวยินดีต่อความโปร่งใสว่า เรายืนหยัดมาอย่างยาวนานต่อคุณค่าของบริษัทและใช้เครื่องมือในฐานะธุรกิจ รวมถึงการใช้จ่ายและการใช้งานบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสนับสนุนขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่เราจะหวังจะเห็นกับโลกใบนี้

ส่วนบริษัทค้าปลีกเครื่อเทศรายใหญ่อย่าง เพนซี่ย์ ใช้เงินไป 773,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

แม้แต่บริษัทขนาดเล็กอย่่างผู้จัดจำหน่ายอาวุธปืนอย่างถูกกฎหมายบนออนไลน์ ก็ทุ่มเงินซื้อโฆษณาเป็นจำนวน 1.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อกระตุ้นให้คนออกไปเลือกตั้ง ก่อนที่คะแนนเสียงจะส่งผลต่อการเปลี่ยนอำนาจในมือที่นำไปสู่การออกกฎหมายควบคุมปืนซึ่งมีผลต่อธุรกิจจำหน่ายอาวุธ