ผ่าฟอร์มทีมเต็งเปิดหัวฟุตบอลโลกแย่

ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย มีอะไรให้เห็นกันค่อนข้างเยอะนะครับ

ตั้งแต่เปิดฉากฟาดแข้งกันมาตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายนเป็นต้นมา จนถึงขณะปิดต้นฉบับเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว 12 วัน แต่เป็น 12 วันที่มีทั้งเรื่องราวสมหวัง ผิดหวัง ดราม่า เคล้าน้ำตากันมากมาย

สังเกตไหมครับว่าฟุตบอลโลกคราวนี้มันเริ่มแปลกๆ ตั้งแต่วันเปิดสนาม “เจ้าภาพ” “รัสเซีย” ที่อันดับโลกต่ำสุด แถมก่อนเริ่มฟุตบอลโลกอุ่นเครื่องมาได้อย่างย่ำแย่กลับระเบิดฟอร์มทันเวลา ไล่ถล่มสมันน้อยจากเอเชียอย่าง “เศรษฐีน้ำมัน” “ซาอุดีอาระเบีย” เละเทะ 5-0

รัสเซียมีตัวแจ้งเกิดในบอลโลกอย่าง “เดนิส เชรีเชฟ, อลัน ซาโกเยฟ” และ “อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน” รายของเชรีเชฟ ซัดไป 3 ประตูใน 2 นัดแรก และรัสเซียก็ทะลุไปสู่รอบน็อกเอาต์ได้สำเร็จอีกด้วย

แต่ว่ากันตามตรงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าภาพจะไปถึงการสร้างเทพนิยายให้โลกจดจำ

ผมจำเกมสุดมันที่ “ฝอยทอง” “โปรตุเกส” แชมป์ยูโร 2016 ไล่ตีเสมอ “กระทิงดุ” “สเปน” แชมป์โลก 2010 ได้เป็นอย่างดี และยกให้คู่นี้เป็นเกมยอดเยี่ยมในรอบแรกฟุตบอลโลก 2018 โปรตุเกส ได้ “คริสเตียโน่ โรนัลโด้” ซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้ทีมซัดฟรีคิกสุดงามช่วยให้ไล่เจ๊าสเปน 3-3 ชนิดที่แฟนบอลทั่วโลกต่างยกให้คู่นี้เป็นเกมเตะระดับ 5 ดาว


ส่วนอีกคู่ที่ผมยกให้เป็นเกมยอดเยี่ยมในรอบแรกฟุตบอลโลก 2018 คือ เกมที่ “อินทรีเหล็ก” “เยอรมนี” ดีกรีแชมป์เก่าปฏิบัติการ “โกงความตาย” แซงชนะ “สวีเดน” ในนัดที่ 2 รอบแบ่งกลุ่ม ลูกยิงฟรีคิกวินาทีสุดท้ายของ “โทนี่ โครส” ช่วยกอบกู้ชาติ กอบกู้ศักดิ์ศรีพลพรรค “อินทรีเหล็ก” ทั่วโลกให้สามารถเดินยืดอกต่อไปได้

ทีมใหญ่ๆ ในรอบแรกต่างมีทีมที่โชว์ฟอร์มได้ดี และทีมที่โชว์ฟอร์มได้แย่ ลองมาดูกันว่าปัจจัยอะไรบ้างทำให้แต่ละทีมยักษ์ใหญ่ทำผลงานดี และผลงานแย่

เริ่มกันที่ เต็ง 1 อย่าง “อินทรีเหล็ก” “เยอรมนี” ที่หอบศักดิ์ศรีแชมป์เก่ามารัสเซีย นัดแรก เยอรมนีแพ้เม็กซิโก 0-1 นัดที่ 2 ชนะสวีเดน 2-1 ภาพรวมของอินทรีเหล็กเวอร์ชั่น 2018 ถือว่าดร็อปลงไปเยอะทั้งที่บุนเดสเทรนเนอร์ก็ยังคงเป็น “โยอาคิม เลิฟ” โครงสร้างนักเตะเป็นแกนหลักของทั้งบาเยิร์น มิวนิก, ดอร์ตมุนด์, ไลป์ซิก, เลเวอร์คูเซ่น, รีล มาดริด เรียกว่าโคตรโหด แต่ละคนระดับเทพๆ ทั้งนั้น

แต่พอเอาเข้าจริงๆ บอลแท็กติกสูงอย่างเยอรมนีกลับทำผลงานได้ไม่ดีในเกมแรก เกมรุกสะเปะสะปะ ต่อบอลกันเละเทะ กองหลังอย่าง “ฮุมเมลส์” เห็นได้ชัดว่าเชื่องช้าเมื่อเจอความเร็วจี๊ดจ๊าดของนักเตะจังโก้โจมตีเข้าใส่ แดนกลางต่อบอลกันไม่ได้ ยิ่งถ้าเกมไหนส่ง “เมซุส โอซิล” ลงคุมแดนกลาง รับรองบอลอินทรีเหล็กจะกลายเป็นแค่นกกระจิบทันที

หัวใจของอินทรีเหล็กชุดนี้หวังพึ่งเพียง “โทนี่ โครส” ในแดนกลางเพียงคนเดียว นั่นอาจเป็นจุดบอดให้คู่ต่อสู้รับมือในรอบต่อๆ ไป แต่ทีมอย่างอินทรีเหล็ก ลองได้พลิกนรกฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้จากเกมที่ชนะสวีเดน 2-1 แล้วนั้น

มีแนวโน้มไม่น้อยว่าพวกเขาอาจไปได้ไกลอีกเช่นกันในบอลโลก 2018


ต่อกันที่ทีมเต็ง 2 ที่จะคว้าแชม
ป์โลก “แซมบ้า” “บราซิล” ขุนพลแซมบ้าเวอร์ชั่นบอลโลก 2018

ก่อนเตะทุกคนร้องซี้ด แต่ละตัวที่ “ติเต้” กุนซือแซมบ้าหนีบมารัสเซียระดับโคตรเทพในทุกแดน ขุมกำลังแน่นปึ้ก

แดนหลังคุมทั้งแผงโดย “ติอาโก้ ซิลวา, มาร์เซโล่”

แดนกลางมีทั้ง “คาเซมิโร่, คูตินโญ่, แฟร์นันดินโญ่, เปาลินโญ่”

กองหน้ามีทั้ง “เนย์มาร์, กาเบรียล เชซุส, ฟิร์มิโน่” ฯลฯ

บอกตามตรงนี่มัน “ว่าที่” แชมป์โลกชัดๆ

แต่เอาเข้าจริง บราซิลออกสตาร์ตนัดแรก เสมอสวิตเซอร์แลนด์ 1-1 นัดที่ 2 ชนะคอสตาริก้า แบบหืดจับ 2-0

ปัญหาของทีมแซมบ้าคือ สูตรผสมของติเต้ ที่มันขาดความกลมกล่อม ขาดความสมดุล

น่าสงสาร “คูตินโญ่” ที่ทำทุกอย่างเพื่อแซมบ้า แต่สตาร์ประจำทีมอย่างเนย์มาร์ ซึ่งชาวบราซิลฝากผีฝากไข้ไว้กลับเล่นบอลแบบ” “วันแมนโชว์”” ไม่ได้เล่นเพื่อทีม

แต่อย่างที่ทุกคนเข้าใจ แซมบ้าก็คือแซมบ้า ไอ้จะตกรอบแรกคงเป็นไปแทบไม่ได้

แต่นี่คือสมรภูมิสงครามของจริงแล้ว ไม่มีเวลาที่ติเต้จะปรับสูตรปรุงรสชาติให้กลมกล่อม แต่คงต้องฝืนๆ กันไป เข็นๆ กันไป

ซึ่งนั่นทำให้การไปถึงชูถ้วยเวิลด์คัพ ยังเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่

มาที่เต็ง 3 ที่จะไปคว้าแชมป์โลกอย่าง “ฟ้า-ขาว” “อาร์เจนตินา” ที่พกดีกรีรองแชมป์เก่ามารัสเซีย องค์ประกอบทีมฟ้า-ขาว ชุดนี้ไม่ได้ขี้เหร่ แถมยังมีนักเตะจอมเทคนิคอย่าง “ลิโอเนล เมสซี่” ร่วมทีมมาด้วย ยิ่งทำให้แฟนบอลอาร์เจนฯ คาดหวังไปที่แชมป์โลก

แต่เมื่อเป่านกหวีดเริ่มเกม บอกเลยว่า “ฮอร์เก้ ซัมเปาลี” ทำให้บอลมาตรฐานสูงอย่างทีมฟ้า-ขาว กลายเป็นทีมดาดๆ ทีมหนึ่งเท่านั้น

นัดแรก อาร์เจนตินาทำได้แค่เสมอกับไอซ์แลนด์ 1-1

นัดที่ 2 โดนโครเอเชียสอนบอลไป 3-0 ต้องไปลุ้นชี้ชะตาในนัดสุดท้ายกับไนจีเรีย

ซึ่งผมเชื่อว่า อาร์เจนฯ จะกลับบ้านเร็วกว่ากำหนด

อาร์เจนฯ ชุดนี้มีทั้ง “อังเคล ดิมาเรีย, กอนซาโล่ อิกวาอิน, เปาโล ดิบาล่า, เซร์คิโอ้ กุน อากูเอโร่, นิโคลัส โอตาเมนดี้”

แต่สภาพที่ออกมาจริงๆ ซัมเปาลีจับตัวหลักระดับอิกวาอิน, ดิบาล่า นั่งสำรองและใช้งานนักเตะเกรดบีในทีมที่มาจากลีกบ้านเกิดเป็นหลัก

เมสซี่เลยกลายเป็นต้อง” “แบก”” ทีม ครั้นจะหวังให้เมสซี่ช่วยยิงประตูก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีคนช่วย ไม่มีคนป้อน

นี่คืออีกทีมที่ทำผลงานน่าผิดหวังสุดๆ กับรอบแรกฟุตบอลโลก 2018

เต็ง 4 สำหรับผมยกให้ “กระทิงดุ” “สเปน” นัดแรก เสมอโปรตุเกส 3-3 นัดที่ 2 ชนะอิหร่าน 1-0 กระทิงดุเวอร์ชั่น 2018 ยังเป็นเวอร์ชั่นคลาสสิค แต่ละคนเป็นโคตรบอลล้วนๆ

ตั้งแต่ “คาบาฆาล, ปีเก้, รามอส, อัลบา, บุสเก็ตส์, อิเนียสต้า, โกเก้, อิสโก้, คอสต้า, ซิลบา”

จริงๆ สเปนชุดนี้ต้องไปไกลอย่างน้อยๆ ต้องตัดเชือก แต่ 3 นัดแรกที่ออกสตาร์ตแม้จะครองบอลได้มากเช่นเดิม แต่การจบสกอร์ไม่ดี ยิ่งเกมนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่ม สเปนไม่เหลือลายของอดีตแชมป์โลกให้คนต้องจดจำอีกแล้ว สไตล์บอลสเปนจ้องแต่จะเลี้ยง ทำชิ่งเข้าไปทำประตู มีจังหวะไม่จบ ทำเป็นโชว์เหนือทั้งที่ไม่มีประโยชน์

ฟุตบอลไม่ใช่มวยจะมานับคะแนน ฟุตบอลเขานับกันที่สกอร์มิใช่หรือ ปัญหาใหญ่ของสเปนคือกองหน้าไร้ประสิทธิภาพ ไม่มีตัวจบสกอร์
แถม เด เคอา ประตูจอมหนึบก็เอาชื่อมาทิ้งที่รัสเซียอีก

เต็ง 5 “ปีศาจแดงยุโรป” “เบลเยียม” นี่คือทีมที่เล่นได้สมราคาที่สุดในรอบแรก

นัดแรก เบลเยียมชนะปานามา 3-0 นัดที่สอง ชนะตูนิเซีย 5-2 เกมรุกสุดโหดจากการปั้นเกมของ “เอเด็น อาซาร์” กับ “เดอ บรอยน์” โดยมี “ลูกากู” จบสกอร์นั้น ถือว่าทำได้เนี้ยบสุดๆ

เกมรุกอันตราย เกมรับ “ก็อมปานี” กับ “แฟร์ต็องเก้น”” ยังไว้ใจได้ ว่ากันว่าหากจะมีทีมไหนเป็นตัวสอดแทรกยามที่ทีมใหญ่นัดกันหลับอยู่อย่างนี้ เบลเยียมมีโอกาสดีที่สุด ดีกว่าทีม “ตราไก่” “ฝรั่งเศส, “อังกฤษ” เสียอีก

ว่าถึง “ฝรั่งเศส” กับ “อังกฤษ” 2 ทีมนี้คงไม่เอ่ยถึงมาก เพราะผมไม่เชื่อว่าจะไปได้ไกลถึงรอบตัดเชือก มาตรฐานอาจดูดีในรอบแรกๆ แต่ทั้ง 2 ทีมยังไม่เจอของจริง รอดูตั้งแต่รอบ 16 ทีมเป็นต้นไปแล้วจะรู้ว่า” “ตราไก่”” กับ” “สิงโตคำราม”” เวอร์ชั่น 2018 ยังคลาสไม่ถึงที่จะไปถึงรอบตัดเชือกฟุตบอลโลก 2018

หากทีมใหญ่นัดกันแย่ต่อไป ทีมที่จะคาบชิ้นปลามันไปกินต้องมองไปที่เบลเยียมแล้วละครับ