ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | อนาคตที่ไม่มีอนาคตของระบอบประยุทธ์และคสช.

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

การชุมนุมของคณะประชาชนปลดแอก ประสบความสำเร็จจนหลังจากนั้นยังไม่พบใครที่วิจารณ์กลุ่มปลกแอกจนรับฟังได้แม้แต่กลุ่มเดียว และถึงแม้คนที่โจมตีกลุ่มปลดแอกจะเดินหน้าด่าทอต่อไปด้วยวาทกรรมต่างๆ คำโจมตีเหล่านี้แทบไม่มีผลต่อกลุ่มปลดแอกในแง่ไหนเลย

พลเอกประยุทธ์ด่าคณะประชาชนปลดแอกหลังการชุมนุมยุติลงไม่ถึง ๑๐ ชั่วโมง แต่การโจมตีว่าประชาชนมีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลังนั้นไร้น้ำหนักจนไม่มีคนสนใจจะตอบโต้ กลุ่มปลดแอกซึ่งเป็นฝ่ายตั้งรับหลังธรรมศาสตร์เสนอปฏิรูปสถาบันฯ กลายเป็นฝ่ายรุกทางการเมืองอย่างภาคภูมิ

การชุมนุมของกลุ่มปลดแอกครั้งที่สองจุดประกายให้การต่อต้านเผด็จการขยายสู่โรงเรียนมัธยม กิจกรรมชูสามนิ้วร้องเพลงชาติ-ผูกโบขาว-ถือกระดาษเปล่ายืนเฉยๆ กลายเป็นภัยคุกคามที่ครูและตำรวจไล่ล่าราวกับมุขในหนังตลก แต่ผลก็คือยิ่งนานการรวมตัวของนักเรียนมัธยมก็ยิ่งเติบโต

ด้วยข้อเท็จจริงที่เยาวชนปลดแอกถูกรัฐบาลและเครือข่าย คสช.คุกคามและดำเนินคดีอย่างหนักตั้งแต่เริ่มชุมนุมวันที่ 18 กรกฎาคม การขยายตัวของกลุ่มปลดแอกเป็นหลักฐานว่าพลเอกประยุทธ์ไม่สามารถใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือปกครองประชาชนได้อย่างที่เคยใช้หลังรัฐประหารมานาน

“ระบอบประยุทธ์” โจมตีเยาวชนปลดแอกด้วยข้อหารุนแรงจากพลเอกอภิรัชต์, สถาบันทิศทางไทย และสนธิ ลิ้มทองกุล แต่การโจมตีด้วยเรื่องชังชาติ-ล้มสถาบัน-รับเงินต่างชาติ กลับไม่สามารถสกัดการขยายตัวของประชาชนได้ทั้งที่เคยได้ผลในการปลุกระดมฆ่าคนไทยกรณี 6 ตุลา และพฤษภา 53

การที่รัฐบาลไม่สามารถปกครองด้วยความกลัวแสดงว่าประชาชนเกลียดรัฐบาลจนความกลัวไม่มีผลต่อไป และการที่วาทกรรมสถาบันไม่อาจสกัดการขยายตัวของกลุ่มปลดแอกแสดงให้เห็นว่าพลังของวาทกรรมนี้เหือดหายจนใช้เป็นข้ออ้างในการปิดปากประชาชนอย่างที่เคยทำมาไม่ได้เลย

ความโลดโผนของคำปราศรัยที่ธรรมศาสตร์เรื่อง 10 ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันฯ ทำให้เกิดความเชื่อว่าประชาชนจะฟังกลุ่มปลดแอกลดลง ซ้ำกลไกรัฐก็ใช้เรื่องนี้ปลุกปั่นเพื่อโจมตีกลุ่มปลดแอกมากขึ้น แต่ปริมาณผู้ชุมนุมวันที่ 16 และบรรยากาศจากนั้นชี้ว่ากระสุนทางวาทกรรมเรื่องนี้ด้านแทบสิ้นเชิง

ปรากฎการณ์ปลดแอกเป็นข่าวร้ายของระบอบประยุทธ์เช่นเดียวกับชัยชนะของพรรคอนาคตใหม่ในปี 2562 และปรากฎการณ์แฟลชม็อบต้นปี 2563 ที่รัฐบาลไม่สามารถใช้กฎหมายและการข่มขู่สกัดการแสดงออกของประชาชน เช่นเดียวกับการใช้สถาบันหลักเป็นข้ออ้างขัดขวางการรวมตัว

โดยปกติความสามารถของรัฐในการปกครองขึ้นอยู่กับกลไกด้านการบังคับและกลไกด้านอุดมการ แต่การขยายตัวของม็อบปลดแอกจากราชดำเนินสู่โรงเรียนมัธยมชี้ว่ากลไกรัฐทั้งสองด้านเริ่มทำงานไม่ได้ ผลก็คือรัฐในสถานการณ์มีทางเลือกแค่ปรับตัว หรือไม่ก็ปราบปรามให้ม็อบสิ้นซากไป

พลเอกประยุทธ์ตั้งตัวเป็นใหญ่หลังปี 2557 เพื่อควบคุมประเทศไม่ให้ประชาชนมีอำนาจ ความต่อเนื่องในการปกครองของพลเอกประยุทธ์เกิดจากการรวมพลังของชนชั้นนำที่ต่อต้านการปรับตัว และยุทธการกำจัดคนเสื้อแดงคือหลักฐานว่าการปราบปรามคือทางเลือกหลักของคนกลุ่มนี้ตลอดมา

พลเอกประยุทธ์โจมตีผู้ชุมนุมบนถนนราชดำเนินว่ามีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลังทันที่ม็อบจบไม่ถึง 24 ชั่วโมง ยิ่งกว่านั้นคือพลเอกประยุทธ์ประกาศว่าจะไม่พูดคุยกับนักศึกษาซึ่งมีแต่พวกอยากไล่รัฐบาลทั้งสิ้น แนวโน้มของการไม่ปรับตัวจึงเจิดจ้าราวการปราบปรามคือทางเลือกในใจตลอดเวลา

ระบอบประยุทธ์ครองอำนาจจากการสนธิกำลังของชนชั้นนำที่เป็นแถวหน้าด้านปราบปราม กลุ่มสามป.พัวพันกับการสังหารหมู่ประชาชนปี 53 ส่วนกองหนุนคนอื่นก็พัวพันกับรัฐประหารปี 2549 จนตอนนี้คนกลุ่มนี้ทำทุกอย่างที่เป็นขั้นตอนสู่การปราบปรามปี 63 ครบแล้วอย่างสมบูรณ์

ม็อบปลดแอกและกระบวนการจาก 18 กรกฎาคมถึงหลัง 16 สิงหาคม ยกระดับจากเรื่องเผด็จการสู่เรื่องปฏิรูปที่ร้อนแรงราวจูเลียส ซีซาร์ ขนกองทัพข้ามแม่น้ำ Rubicon ทั้งที่ละเมิดข้อห้ามชนชั้นปกครองโรมัน สถานการณ์ตอนนี้จึงเต็มไปด้วยเงื่อนไขให้ผู้มีอำนาจคิดเรื่องอำมหิตกว่าอยู่ร่วมกัน

สูตรสำเร็จของรัฐไทยในการลั่นกระสุนใส่ประชาชนจากปี 2519 ถึง 2553 คือการยัดเยียดให้ผู้ถูกฆ่าเป็นอื่นจนสมควรถูกฆ่าจริงๆ จากนั้นจึงสร้างเรื่องว่าผู้ถูกฆ่ามีอาวุธหรือกองกำลังจนรัฐพึงฆ่าทิ้งให้หมด แต่คำถามสำคัญในปี 2563 คือรัฐจะทำอย่างไรให้นักเรียนนักศึกษาดูเป็นอื่นจนควรถูกฆ่าตาย

เวทีธรรมศาสตร์วันที่ 10 สิงหาคม เปรียบได้กับก้าวแรกที่ซีซาร์ข้ามแม่น้ำรูบิคอนจนรัฐคิดว่าพบเงื่อนไขให้เปิดศึกพิฆาตประชาชน แต่สังคมที่มีบทเรียนจาก 6 ตุลา 2519 ถึงการปราบคนเสื้อแดงปี 53 รู้ทันจนรวมพลังปกป้องไม่ให้กลไกรัฐใช้ภาษีประชาชนทำเรื่องอำมหิตได้สำเร็จอย่างอัศจรรย์

ม็อบปลดแอกพูดตลอดเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่, ยุบสภา และหยุดคุกคามประชาชน แต่คำปราศรัยและสัญลักษณ์ต่างๆ สื่อถึงสิ่งที่ถูกเรียกว่า “ข้อเรียกร้องหมายเลข 0” ซึ่งรุกคืบสู่พื้นที่ต้องห้ามที่รัฐและชนชั้นนำกำหนดโดยไม่เป็นทางการขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่รัฐและชนชั้นนำจะไม่ตอบโต้อะไรเลย

สามข้อเรียกร้องหลักของม็อบปลดแอกรวมศูนย์ที่ความต้องการรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรที่คืนอำนาจให้ประชาชน แต่ “ข้อเรียกร้องหมายเลข 0” พูดเรื่องการปรับรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมสู่แบบที่เคยเป็นซึ่งเคยทำให้ทุกฝ่ายสบายใจที่สุด แต่ทั้งสองข้อล้วนไม่ได้รับการขานรับจนน่ากังวล

ม็อบนักเรียนคือตัวแปรใหม่ในการทวงคืนอำนาจรัฐเป็นของประชาชน และขณะที่ครูเปลี่ยนโรงเรียนเป็นสมรภูมิที่ผู้อำนาจไล่ตีและขู่ไล่ออกเด็กที่ชูสามนิ้วร้องเพลงชาติ-ผูกโบขาว-ถือกระดาษเปล่า ผลที่เกิดขึ้นคือกลไกรัฐตอกลิ่มให้รอยร้าวในสังคมถ่างกว้างผ่านสถานศึกษาอย่างไม่ควรเป็น

ตรงกันข้ามรัฐบาลที่หลอกตัวเองว่าเด็กนักเรียนชูสามนิ้วผูกโบขาวเพราะโง่ไม่รู้เรื่องอะไร สิ่งที่ผู้มีอำนาจในทำเนียบต้องคิดคือนักเรียนมีต้นทุนในการแสดงออกเรื่องนี้สูงมากตั้งแต่ถูกครูด่า-เรียกเข้าห้องปกครอง-ขู่ไล่ออก-แคปชื่อให้ตำรวจ จนคำถามคืออะไรทำให้เด็กทำแบบนี้ทั่วประเทศไทย

รัฐบาลพล่ามทุกวันว่าเด็กคืออนาคตของชาติ และการแสดงออกของเด็กท่ามกลางความเสี่ยงจะถูกคุกคามจากตำรวจถึงครูคือหลักฐานว่าเด็กเห็นชาติไม่มีอนาคตด้วยผู้มีอำนาจปัจจุบัน และความตกต่ำทางการเมืองหรือตัวเลขเศรษฐกิจที่สภาพัฒน์แถลงว่าลบ 12.2% ก็ยืนยันว่าเด็กพูดถูกจริงๆ

ด้วยความเป็นจริงของประเทศแบบนี้ มีใครบ้างจะอยากอยู่ในประเทศที่พลเอกประยุทธ์ตั้งตัวเป็นใหญ่, กวาดล้างฝ่ายตรงข้าม และตั้งพวกพ้องยึดตำแหน่งบริหารต่างๆ จากทำเนียบถึงองค์กรอิสระมากว่า 6 ปี แต่กลับเดินหน้าสู่รัฐล้มเหลวที่พลเอกประยุทธ์เป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวทั้งปวง

อดีตนายกอภิสิทธิ์พูดถูกว่าพลเอกประยุทธ์จะเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งทางการเมืองหลังครองอำนาจทั้งที่แพ้เลือกตั้ง และด้วยวิธีที่พลเอกประยุทธ์รักษาอำนาจท่ามกลางการต่อต้านของประชาชน ข้อขัดแย้งที่ควรจบในสภากลับลามสู่ท้องถนนและโรงเรียนมัธยมอย่างไม่เคยเกิดขึ้นเลย

ระบอบประยุทธ์ล้มเหลวเพราะไม่สามารถทำให้ชีวิตของประชาชนดีขึ้น ยิ่งกว่านั้นคือไม่มีองค์ประกอบไหนในระบอบที่น่าเชื่อว่าจะทำให้ประเทศมีอนาคต มลทินจากอดีตแห่งการปล้นอำนาจประชาชน-ปัจจุบันที่ล้มเหลว-อนาคตที่มืดมนคือเหตุให้คนมหาศาลคิดตรงกันเรื่องรัฐบาล

กองหนุนพลเอกประยุทธ์จำนวนมากคือคนรุ่นเก่าที่เหยียดคนร่วมชาติจนคิดว่าคนเห็นต่างโง่หรือไร้ความเป็นคน แต่ความจริงคือคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่เคยหนุนเผด็จการ ทางออกที่กองหนุนพลเอกประยุทธ์ทำได้คือการสะกดจิตตัวเองว่าคนวิจารณ์พลเอกประยุทธ์คือคนรุ่นใหม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไร

ม็อบเยาวชนปลดแอกคือการรวมตัวของประชาชนทุกช่วงวัย-ทุกอาชีพ-ทุกชนชั้น-ทุกเพศสภาพ ฯลฯ ที่ไม่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นแบบหลังปี 2557 ความขัดแย้งจึงไม่ใช่เรื่องระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่อย่างที่รัฐบาลปลุกปั่นจนมีแต่พวกรัฐบาลที่พูดเรื่อง “สงครามระหว่างรุ่น” มาหลายปี

ไม่ว่าพลเอกประยุทธ์จะกล้าเผชิญความจริงหรือไม่ การรวมตัวของประชาชนท่ามกลางการกดขี่ข่มเหงของรัฐบาลสะท้อนว่าประชาชนไม่ให้ความชอบธรรมและความยอมรับรัฐบาลต่อไป การต่อต้านที่ลุกลามถึงมัธยมทำให้ระบอบนี้ใช้กำลังปราบไม่ได้ ส่วนความเชื่อถือด้านอุดมการก็ไม่มี

เงื่อนไขเดียวที่รัฐบาลสามารถปราบประชาชนคือยัดข้อหาว่านักเรียนนักศึกษามีอาวุธสงคราม แต่การชุมนุมของเยาวชนรอบนี้สงบ สันติ และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าจนรัฐบาลที่ยัดข้อหาก็จะมีชะตากรรมไม่ต่างกับผู้อำนวยการที่ตบเด็กชูสามนิ้วจนสังคมรังเกียจและไม่มีที่ยืนในบั้นปลาย

การเดินทางของประชาชนข้ามแม่น้ำรูบินคอนเริ่มต้นแล้ว คนทั้งประเทศกำลังมุ่งหน้าสู่สถานการณ์ที่หมุนกลับไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าฉากจบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร แต่อนาคตของพลเอกประยุทธ์รางเลือนเหมือนเมรุใกล้ดับ และความพยายามรักษาอำนาจพลเอกประยุทธ์จะทำให้ประเทศพังกว่าเดิม

พลเอกประยุทธ์ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกในอีกไม่นาน และถึงแม้ชนชั้นนำยังหนุนพลเอกประยุทธ์เพราะหาคนที่ตอบสนองผลประโยชน์เต็มที่แบบนี้ไม่ได้ การสนับสนุนพลเอกประยุทธ์คือการดึงผู้สนับสนุนทุกฝ่ายไปสู่หลุมดำของความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่เห็นแสงสว่างอีกเลย

อนาคตของประเทศกำลังเดินหน้าเรื่อยๆ จากอนาคตที่ไม่มีอนาคตภายใต้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา