คุยกับ ‘ปู ไปรยา’ หลัง “รีเซ็ตตัวเอง” งานชี้ชะตา และการเดิมพันอนาคตทางการแสดง

ใช้ชีวิตกับการทำงานนั่น โน่น นี่ ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเพื่อเลี้ยงชีพ อย่างงานเดินแบบ ถ่ายแบบ งานแสดงภาพยนตร์ รวมถึงเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า และงานตอบแทนสังคม อย่างการเป็นทูตสันถวไมตรี ให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)

จนไปๆ มาๆ ปู ไปรยา สวนดอกไม้ ลุนเบิร์ก ก็ไม่ได้รับงานแสดงละคร อาชีพแจ้งเกิดมานานถึง 3 ปี

อย่างไรก็ดี ตอนนี้เธอตอบรับ กลับมาเล่นละครนอกค่าย หลังหมดสัญญากับสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ซึ่งพอถามถึงความรู้สึกของการกลับมา ปูก็ว่า ดีใจ โชคดี และดีใจ

“ดีใจที่ได้รับละครที่บทประพันธ์ดี” นี่เธอพูดถึง “บางกอกนฤมิต” ที่สร้างจากบทประพันธ์ของ “พงศกร” ขณะเดียวกันก็บอกถึงบท “มาลัยวรรณ” ที่ได้ว่าน่าสนใจ เป็นตัวละครที่ร้าย แต่เป็นการร้ายแบบมีที่มาที่ไป

“ทำให้รู้สึกว่า ต้องพยายามมาก และอยากให้มันออกมาดี”

“ชอบนิยายเรื่องนี้มาก บทที่เล่น ปูก็ชอบ ตัวละครนี้เขาร้ายนะ ปูเคยเป็นเหมือนเขา?พยายามเท่าไหร่ทำไมไม่ได้ ทำไมคนที่สวยกว่า ดีกว่า เขาได้ ทำไมฉันต้องสู้ ทำไมฉันต้องพยายาม ทำไมโอกาสฉันไม่มาสักที แล้วเมื่อมันมา ทำไมมันหายไปได้ทันที”

“การกระทำของเขาในหลายเรื่องเป็นสิ่งที่ปูผ่านมาในชีวิต 4-5 ปี ทำให้ปูอยากเล่นเรื่องนี้มาก”

และทั้งหมดนี้คงเป็นเหตุให้เธอใช้คำว่า “ปูโชคดีค่ะ ปูดีใจ” แม้จะต้องทิ้งงานภาพยนตร์ในต่างประเทศเพื่อมาเล่นละครเรื่องนี้ก็ตาม

นางเอกซึ่งเริ่มงานแสดงตั้งแต่อายุ 13 จนปัจจุบันอายุ 28 ปี บอกอีกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอไปเข้าคอร์สเรียนการแสดงเป็นเรื่องเป็นราว ก่อนเข้ากล้อง โดยมีทั้งไปเรียนที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และที่เมืองไทย ซึ่งช่องวันจัดให้ตามคำขอ

“ตอนติดต่อมา สิ่งแรกที่ปูขอ คือขอให้มีครูวอยซ์ และมีครูการแสดงประกบทุกฉาก จะไม่เดินเข้าฉากโดยที่ไม่มีครูการแสดง”

ที่ต้องขนาดนั้น เธอบอกตามตรง “เพราะเราโตมากับละคร และมีทุกวันนี้เพราะละคร แต่สิ่งเดียวที่ปูรู้สึกว่าปูขาด คือไม่เคยมองว่ามันเป็นศิลปะ แต่มองว่าคืองาน”

“ปูเซ็นกับสังกัดบ้านเกิดตอนอายุ 13 ตอนนั้นเรียนรู้ภาษาไทยกับกองถ่าย เรียนรู้การแสดงกับกองถ่าย และมีทุกวันนี้เพราะกองถ่าย แต่เด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้ใฝ่ฝันจะเป็นนักแสดง เล่นละครยังไงก็ไม่ได้เล่นดีอยู่แล้ว แต่พอโตขึ้น รู้แล้วว่านี่คือสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ต้องการให้คนเห็นความสามารถ เลยขอเรื่องนี้เป็นเดิมพัน”

แต่แม้จะพูดอย่างนั้น เธอก็ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่ตั้งใจเล่น

“แต่เป็นเด็กที่เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย” ฟังคำอธิบายนี้แล้วก็คงพอจะเข้าใจ

ยังบอกอีกว่า ที่ห่างหายไปจากงานนี้ 3 ปี เพราะรู้สึกว่าต้องรีเซ็ตตัวใหม่

“ถามใจตัวเองว่าชอบเป็นนักแสดงหรือเปล่า”

และพอได้คำตอบว่าใช่ แมทธิว บราก แฟนหนุ่ม ก็อยากให้กลับมารับเล่น

โดยว่า “ถ้าจะเป็นหนึ่งในเรื่องสุดท้าย หรือสองเรื่องสุดท้าย ขอให้ตั้งใจเล่นให้ดีที่สุด ปูจะได้มองกลับไป ว่าคำว่านักแสดงยังใช้กับปู ไปรยา ได้อยู่ เราไม่ใช่แค่เป็นดารา”, “เธอควรทำให้อาชีพนี้เป็นที่ภาคภูมิใจ” เธอถ่ายทอดประโยคที่เขาพูดไว้ให้ฟัง

กับงานชิ้นนี้เจ้าตัวจึงบอกตามตรง “คาดหวังมากค่ะ มากจริงๆ”

แต่ “ไม่ได้คาดหวังกระแสนะ คาดหวังเรื่องเดียวว่าเป็นเรื่องที่คนจะบอก ว่าปูเล่นแล้วเขาชอบ ขอสักเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่เด็กจนโต ขอเรื่องนี้แหละ ขอแค่นี้เลย”

และถ้าเป็นอย่างนั้น ขณะเดียวกันถ้าโครงการอื่นๆ ที่ใฝ่ฝันไม่เป็นดังคิด “ก็อาจจะกลับมารับอีก”

“แต่ถ้ามันไม่ใช่” อันหมายถึงคนไม่ชอบ เธอก็คงเดินหน้าทำอย่างอื่น ไม่หวนกลับ

ในช่วงการถ่ายทำ ซึ่งน่าจะใช้เวลาราวๆ 4-5 เดือน ปูบอกว่าเธอยังมีงานอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกา ดังนั้น คงใช้การบินไป บินมา ซึ่งแน่นอนว่าเหนื่อย แต่ไม่มีปัญหา

“รู้สึกว่าทุกครั้งที่มีงานคือโชคดี”

“เมื่อ 6 ปีที่แล้วโฆษณาตัวหนึ่งปูยังไม่มี เคยอยู่ในจุดที่ไม่ใช่จุดนี้ เลยบอกว่าตราบใดที่มีงาน ตราบใดที่เดินไหว ตราบใดที่เขายังอยากได้เรา ทำไปเถอะ อย่าคิดมากเลย”

สตรอว์เบอร์รี่กับปู

ช่วงที่มีข่าวเรื่องไม่ต่อสัญญากับสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ใหม่ๆ ในโลกออนไลน์มีคนส่งรูป “สตรอว์เบอร์รี่” ที่รู้กันอยู่ว่ามีความนัยมาให้ และพอถามถึงเรื่องที่ว่า ปูก็บอก “ชีวิตมันสั้นนะคะ”

“เอาง่ายๆ ปูผ่านข่าว ผ่านเรื่องราวอะไรมาเยอะมากในชีวิต ผ่านจุดที่คนด่ามาแล้ว คนชอบก็แล้ว”

อีกทั้ง “เราเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผล มีสิทธิที่จะออกความคิดเห็นของเขา แต่เราก็มีสิทธิที่จะมีความเมตตากับเขา มีสิทธิที่จะเข้าใจเขา สิ่งที่เราต้องอย่าลืม เราคือบุคคลของประชาชน อาชีพนี้ถูกสร้างมาเพื่อสังคม”

“เราจงอย่าว่าเขา ถ้าเขามีความคิดเห็นเกี่ยวกับชีวิตของเรา จงรับ และปรับปรุงตัวเราเอง”

“ชีวิตนี้เจอมาเยอะแล้วค่ะ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ”

ดังนั้น จึงรับมือกับเรื่องต่างๆ ได้อย่างชิลล์